
Editor's Letter
Outside In
ดูเหมือนว่าปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 จะกลายเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตของคนไทยอย่างเราๆ ไปเสียแล้ว พอมานั่งนึกย้อนดูว่าสิ่งนี้มันเริ่มต้นที่ตรงไหนเมื่อไหร่กันนะ เพราะตั้งแต่จำความได้ ผมไม่เคยได้ยินว่ามีสิ่งนี้อยู่บนโลก เมื่อก่อนเราก็ใช้ชีวิตกันตามปกติ เวลาฟังข่าวพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา ก็จะได้ยินเพียงแค่ “มีหมอกบางในยามเช้า” หรือ “มีฟ้าหลัวตอนกลางวัน” ก็เท่านั้นเอง ผมเลยสงสัยว่า หรือจริงๆ แล้ว ไอ้เจ้า PM 2.5 ในทุกวันนี้มันคือ “ฟ้าหลัว” ในวันนั้น ลองไปค้นดู ก็พบว่า ฟ้าหลัวคืออนุภาคเล็กๆ ซึ่งได้แก่ ฝุ่นละออง ควัน เขม่า ละอองเกสรดอกไม้ หรือไอเกลือ ที่ลอยอยู่ในอากาศ ทำให้เกิดความขมุกขมัวและทัศนวิศัยที่ไม่ดี ส่วนใหญ่จะเกิดในหน้าร้อนเพราะอากาศร้อนจะลอยตัวสูงหอบเอาละอองเหล่านี้ขึ้นไปลอยคว้างอยู่กลางอากาศ คล้ายๆ หมอกตอนกลางวัน และไม่จางหายไปเหมือนหมอกปกติ นอกจากอากาศจะคลายตัวลงด้วยความเย็นหรือจะมีฝนตกลงมาชะล้างให้ท้องฟ้าสดใสขึ้น ฟังๆ ดูก็เหมือนกับ PM 2.5 แต่สิ่งที่ต่างกันคือ ฟ้าหลัวเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่เป็นอันตราย เราสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติในสภาวะฟ้าหลัว ไม่เหมือนกับเจ้า PM ตัวร้าย ที่ทำให้การใช้ชีวิตนอกบ้านเป็นเรื่องอันตราย
เดิมที QoQoon ตั้งใจว่าในเดือนมีนาคมนี้ เราอยากจะทำเรื่องราวเกี่ยวกับการออกไปท่องเที่ยวใช้ชีวิตกลางแจ้งในช่วงซัมเมอร์ที่ยังไม่ร้อนระอุมากนัก เพราะก่อนหน้านี้ท้องฟ้าและอากาศที่ไม่สดใส ทำให้เราอัดอั้นและอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน เมื่อแดดจ้าฟ้าเปิด เราก็ควรจะออกไปรับวิตามิน D หรือวิตามิน Sea กันบ้าง แต่ไม่ว่าจะด้วยผลพวงของสภาวะโลกร้อนหรืออะไรก็ตาม ทำให้น้องฟ้าใสไม่มาตามนัด แถมอากาศยังวิปริตแปรปรวนไม่เป็นอย่างเคย เราเลยได้เจอกับน้องฝนในเดือนกุมภา (และมีนา ในบางวัน บางพื้นที่) ซ้ำร้าย หลังฝนซาฟ้าก็ดันไม่ยอมเปิด เพราะเจ้าฝุ่น PM ไม่ยอมจางไปสักที ไม่แน่ว่าในอนาคต เราอาจจะต้องเผชิญมลภาวะเลวร้ายจนต้องย้ายไปสร้างอาณานิคมอยู่ใต้ดินหรือหุบเขาแบบในหนัง Mad Max ก็เป็นได้
ในเมื่ออากาศไม่เป็นใจ (บวกกับปัจจัยบางอย่าง) เราเลยขอเปลี่ยนธีมกลางอากาศ ให้เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตแบบชิลล์ๆ เพื่อสู้กับอากาศร้ายๆ ของไทยแลนด์ที่ทั้งฝุ่นทั้งร้อน ผมเห็นรูปบ้านหลังหนึ่งในประเทศเมืองหนาวที่เจ้าของบ้านซึ่งเป็นสถาปนิกสร้างบ้านอยู่ภายในเรือนกระจกยักษ์ เขาสามารถปลูกพืชผักนอกบ้านได้แม้ในสภาพอากาศหนาวเหน็บ เพราะสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิที่เหมาะสมในเรือนกระจกได้ บ้านหลังที่ว่าก็คือบ้านที่อยู่บนปก QoQoon ฉบับนี้นั่นเอง ผมแอบมีความคิดว่า หรือต่อไปภายหน้า เราอาจจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในโดมแบบนั้นจริงๆ (ซึ่งดูดีกว่านิคมใต้ดินแบบ Mad Max) ในอนาคตเราอาจจะต้องใช้เรือนกระจกนี้สำหรับบ้านเมืองร้อนด้วยเช่นกัน ลองนึกภาพตาม คงเหมือนภาพจากหนังไซ-ไฟ สักเรื่อง วันก่อนผมไปเดินย่านทรงวาด เข้าไปนั่งดื่มชาในคาเฟ่แห่งหนึ่ง ที่มีเรือนไทยซ้อนอยู่ในตึกแถวติดแอร์อีกชั้นหนึ่ง ก็เหมือนยิ่งตอกย้ำความคิดนี้เข้าไปอีก
นอกจากไอเดียบ้านในเรือนกระจกแล้ว เรายังมีเรื่องของโรงแรมที่เน้นเรื่องของ Sustainability ไว้ให้เลือกชมเลือกเที่ยวสำหรับคนที่มีกำลังทรัพย์และมีเวลาว่างพอที่จะไม่ต้องฝืนทนอยู่กับฝุ่นควันในเมืองหลวง -ไปเลยครับ…ออกไปเที่ยว ไปสูดอากาศที่บริสุทธิ์กว่า และสนับสนุนเจ้าของกิจการที่สนับสนุนเรื่องความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเหล่านั้น ถือว่าเราได้ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน ส่วนใครที่ติดภาระหรือมีข้อจำกัดในการเดินทาง ก็สามารถนำธรรมชาติเข้ามาสู่ภายในบ้านของเราเองได้มากมายหลายวิธี ซึ่งเราเคยนำเสนอไปบ้างแล้วในฉบับที่ผ่านๆ มา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Biophiloc Design การสร้างสัมผัสจากธรรมชาติภายในบ้าน หรือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างการสร้างสวนจิ๋วด้วยตัวเอง ซึ่งนอกจากจะเป็นการนำธรรมชาติจากภายนอกเข้าสู่ภายในบ้านแล้ว ยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายและเป็นการฝึกสมาธิไปด้วยในตัว ระหว่างที่รอว่าเมื่อไหร่เราจะได้ออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้งอย่างอิสระไร้กังวลเสียที และทางเราสัญญาว่าเราจะพาคุณออกไปใช้ชีวิตโลดแล่นภายนอกแน่นอน
เจอกันที่ทะเลเดือนหน้านะครับ
Wachirapanee Whisky Markdee
Editor In Chief