Home

Through The Lens Of Time

พาลาซโซเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ใจกลางเมืองเนเปิลส์ได้รับการบูรณะและแปลงโฉมเป็นสตูดิโอและบ้านส่วนตัว กลายเป็นผลลัพธ์ที่น่าสนใจของการซ้อนทับของประวัติศาสตร์ต่างยุคสมัย และยังเป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำ “Mussolini: Son of the Century” ซีรีส์ใหม่ของผู้กำกับ Joe Wright (Atonement, Pride & Prejudice, Darkest Hour) ที่เพิ่งออกอากาศทาง Sky TV

มุมตรงข้ามของห้องนั่งเล่น บนผนังมีงานศิลปะโดย Ryan Mendoza, โต๊ะกาแฟที่ออกแบบโดยสถาปนิกเองสะท้อนให้เห็นรายละเอียดการตกแต่งเพดานห้อง ระหว่างเก้าอี้เท้าแขน "Bambole" ที่ออกแบบโดย Mario Bellini สำหรับ B&B มีงานศิลปะโดย Salvino Campos ตั้งอยู่ ประตูอะคริลิกสีแดงนำไปสู่พื้นที่ห้องครัวที่อยู่รอบห้องนั่งเล่นและห้องสมุด
มุมตรงข้ามของห้องนั่งเล่น บนผนังมีงานศิลปะโดย Ryan Mendoza, โต๊ะกาแฟที่ออกแบบโดยสถาปนิกเองสะท้อนให้เห็นรายละเอียดการตกแต่งเพดานห้อง ระหว่างเก้าอี้เท้าแขน "Bambole" ที่ออกแบบโดย Mario Bellini สำหรับ B&B มีงานศิลปะโดย Salvino Campos ตั้งอยู่ ประตูอะคริลิกสีแดงนำไปสู่พื้นที่ห้องครัวที่อยู่รอบห้องนั่งเล่นและห้องสมุด

เบื้องหลังฟาซาดสไตล์นีโอคลาสสิกขนาดใหญ่อันเต็มไปด้วยเรื่องราวในอดีต ความทรงจำและคำบอกเล่าหลงเหลือผ่านกาลเวลาอยู่ภายในลานบ้าน เผยให้เห็นผ่านตราอาร์มว่าที่นี่คือสถานที่ซึ่งตระกูลขุนนาง Ruffo di Castelcicala เลือกที่จะใช้เป็นที่พำนัก “Nunquam retrorsum” ที่แปลว่า “ไม่เคยถอยหลัง” คือคำขวัญ ซึ่งอยู่ร่วมกับรูปม้าครึ่งตัวที่กำลังยกขา (half rearing horse) มองลงมาจากบันไดหิน piperno ที่นำไปสู่ชั้นบนของคฤหาสน์ ร่องรอยแห่งอดีตอันสูงศักดิ์นี้เอง ที่ทำให้สถาปนิก Antonio Giuseppe Martiniello สามารถรังสรรค์การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ได้อย่างสมบูรณ์ โดยยังคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์ของสถานที่ โฮมสตูดิโอในเนเปิลส์ที่ก่อสร้างมาตั้งแต่ช่วง 1690 และได้รับการบูรณะในช่วงทศวรรษที่ 1800 หลังจากถูกทิ้งร้างมากว่าเก้าสิบปี อาคารแห่งนี้จึงได้มีชีวิตใหม่ขึ้นมาอีกครั้งด้วยฝีมือของเขา

Palazzo Ruffo di Castelcicala
Palazzo Ruffo di Castelcicala
Palazzo Ruffo di Castelcicala ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมในยุคนั้นไว้อย่างสมบูรณ์ พื้นหิน Piperno และซุ้มโค้งที่เรียงรายอยู่บนพื้นทั้งสามชั้น ฟาซาดสไตล์นีโอคลาสสิกของพาลาซโซแห่งนี้เคยปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง "Così parlò Bellavista and Il Mistero di Bellavista" ของนักเขียน Luciano De Crescenzo และจากซีรีส์เรื่องล่าสุด “M. Son of the Century โดยผู้กำกับ Joe Wright
Palazzo Ruffo di Castelcicala ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมในยุคนั้นไว้อย่างสมบูรณ์ พื้นหิน Piperno และซุ้มโค้งที่เรียงรายอยู่บนพื้นทั้งสามชั้น ฟาซาดสไตล์นีโอคลาสสิกของพาลาซโซแห่งนี้เคยปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง "Così parlò Bellavista and Il Mistero di Bellavista" ของนักเขียน Luciano De Crescenzo และจากซีรีส์เรื่องล่าสุด “M. Son of the Century โดยผู้กำกับ Joe Wright
Palazzo Ruffo di Castelcicala ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมในยุคนั้นไว้อย่างสมบูรณ์ พื้นหิน Piperno และซุ้มโค้งที่เรียงรายอยู่บนพื้นทั้งสามชั้น ฟาซาดสไตล์นีโอคลาสสิกของพาลาซโซแห่งนี้เคยปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง "Così parlò Bellavista and Il Mistero di Bellavista" ของนักเขียน Luciano De Crescenzo และจากซีรีส์เรื่องล่าสุด “M. Son of the Century โดยผู้กำกับ Joe Wright
Palazzo Ruffo di Castelcicala ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมในยุคนั้นไว้อย่างสมบูรณ์ พื้นหิน Piperno และซุ้มโค้งที่เรียงรายอยู่บนพื้นทั้งสามชั้น ฟาซาดสไตล์นีโอคลาสสิกของพาลาซโซแห่งนี้เคยปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง "Così parlò Bellavista and Il Mistero di Bellavista" ของนักเขียน Luciano De Crescenzo และจากซีรีส์เรื่องล่าสุด “M. Son of the Century โดยผู้กำกับ Joe Wright
เงาสะท้อนบนกระจกหน้าต่างของงานอาร์ตเวิร์คนีออน โดย Fischerspooner ศิลปินชาวอังกฤษผู้มากความสามารถ
เงาสะท้อนบนกระจกหน้าต่างของงานอาร์ตเวิร์คนีออน โดย Fischerspooner ศิลปินชาวอังกฤษผู้มากความสามารถ
ปัจจุบันบ้านหลังนี้คือสำนักงานใหญ่ของสำนักงานสถาปนิก Keller Architecture ที่ซึ่งหลักการทางสถาปัตยกรรมต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ อยู่อย่างสม่ำเสมอ ด้วยความเชื่อว่าสถาปัตยกรรมคือปรากฏการณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน เขาจึงมุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง และสร้างสรรค์ผลงานอันเป็นที่จดจำมากมาย ประสบการณ์ที่เขาได้หลังเรียนจบจาก กราซ ในออสเตรีย เป็นรากฐานสำคัญที่หล่อหลอมแนวคิดเกี่ยวกับพื้นที่ของเขา  “ผมชอบเนเปิลส์ ในฐานะที่เป็นรากเหง้าของผม แต่ผมก็รู้สึกถึงความเป็นยูโรเปียนอย่างมาก เนเปิลส์เป็นเมืองที่เร้าใจ เป็นสถานที่ที่งานวิจัยทางสาปัตยกรรมถูกเก็บใส่แคปซูลไว้อย่างยาวนาน ผมคิดว่าเมืองของผมยังห่างไกลจากการสร้างมาตรฐานทางรสนิยม สตูดิโอที่เป็นเหมือนบ้านของผมเปิดกว้างสำหรับการแลกเปลี่ยน การผสมผสาน และการเผชิญหน้าทางวัฒนธรรม ในเนเปิลส์ซึ่งเป็นเมืองที่สิ่งใหม่ๆ ได้รับการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และพัฒนาอย่างรวดเร็ว การสร้างสรรค์ภาษาทางสถาปัตยกรรมที่มีชีวิตชีวาจึงเป็นเรื่องท้าทายและน่าตื่นเต้น สำหรับผม นวัตกรรม คือการนำความทรงจำทางประวัติศาสตร์ของสถานที่แห่งหนึ่ง ของบ้านหลังหนึ่ง กลับมาอีกครั้ง และส่งต่อมันสู่อนาคตที่ทันสมัย ผมมองว่าอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง”
ซุ้มโค้งที่เรียงรายอยู่บนพื้นทั้งสามชั้น ฟาซาดสไตล์นีโอคลาสสิกของพาลาซโซแห่งนี้เคยปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง "Così parlò Bellavista and Il Mistero di Bellavista" ของนักเขียน Luciano De Crescenzo และจากซีรีส์เรื่องล่าสุด “M. Son of the Century โดยผู้กำกับ Joe Wright
ซุ้มโค้งที่เรียงรายอยู่บนพื้นทั้งสามชั้น ฟาซาดสไตล์นีโอคลาสสิกของพาลาซโซแห่งนี้เคยปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง "Così parlò Bellavista and Il Mistero di Bellavista" ของนักเขียน Luciano De Crescenzo และจากซีรีส์เรื่องล่าสุด “M. Son of the Century โดยผู้กำกับ Joe Wright

 “ผมชอบเนเปิลส์ ในฐานะที่เป็นรากเหง้าของผม แต่ผมก็รู้สึกถึงความเป็นยูโรเปียนอย่างมาก เนเปิลส์เป็นเมืองที่เร้าใจ เป็นสถานที่ที่งานวิจัยทางสาปัตยกรรมถูกเก็บใส่แคปซูลไว้อย่างยาวนาน ผมคิดว่าเมืองของผมยังห่างไกลจากการสร้างมาตรฐานทางรสนิยม สตูดิโอที่เป็นเหมือนบ้านของผมเปิดกว้างสำหรับการแลกเปลี่ยน การผสมผสาน และการเผชิญหน้าทางวัฒนธรรม ในเนเปิลส์ซึ่งเป็นเมืองที่สิ่งใหม่ๆ ได้รับการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และพัฒนาอย่างรวดเร็ว การสร้างสรรค์ภาษาทางสถาปัตยกรรมที่มีชีวิตชีวาจึงเป็นเรื่องท้าทายและน่าตื่นเต้น สำหรับผม นวัตกรรม คือการนำความทรงจำทางประวัติศาสตร์ของสถานที่แห่งหนึ่ง ของบ้านหลังหนึ่ง กลับมาอีกครั้ง และส่งต่อมันสู่อนาคตที่ทันสมัย ผมมองว่าอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง”

ห้องประชุมมีภาพปูนเปียกบนกระดาษ, รอบโต๊ะ Pallucco มีเก้าอี้ของ Verner Panton, บนผนังมีผลงานสิบชิ้นโดย Harry Pearce "Poetry in The street of Naples" ที่สร้างขึ้นโดยความร่วมมือกับโรงพิมพ์ Vittorio Avella, โคมไฟ Erco, ชั้นหนังสือติดผนัง Pallucco Italia, ประติมากรรม "Skull" โดย Anna Fusco
ห้องประชุมมีภาพปูนเปียกบนกระดาษ, รอบโต๊ะ Pallucco มีเก้าอี้ของ Verner Panton, บนผนังมีผลงานสิบชิ้นโดย Harry Pearce "Poetry in The street of Naples" ที่สร้างขึ้นโดยความร่วมมือกับโรงพิมพ์ Vittorio Avella, โคมไฟ Erco, ชั้นหนังสือติดผนัง Pallucco Italia, ประติมากรรม "Skull" โดย Anna Fusco
ในห้องนกยูง ซึ่งเป็นสตูดิโอของสถาปนิก รอบโต๊ะ Tecno ที่ออกแบบโดย Osvaldo Borsani ปี 1958 มีเก้าอี้วินเทจจากยุค 70s, โคมไฟตั้งโต๊ะโดย Charles Eames, ต้นแบบโคมไฟตั้งพื้นยุค 80s โดย Memphis Group, พื้นและกรอบเป็นของดั้งเดิมตั้งแต่ปี 1700s
ในห้องนกยูง ซึ่งเป็นสตูดิโอของสถาปนิก รอบโต๊ะ Tecno ที่ออกแบบโดย Osvaldo Borsani ปี 1958 มีเก้าอี้วินเทจจากยุค 70s, โคมไฟตั้งโต๊ะโดย Charles Eames, ต้นแบบโคมไฟตั้งพื้นยุค 80s โดย Memphis Group, พื้นและกรอบเป็นของดั้งเดิมตั้งแต่ปี 1700s
โซฟาแบบสแกนดิเนเวียนจากยุค 50s หุ้มด้วยผ้า Dedar, ภาพถ่าย "Face 4" Paris 2006 โดย Huber จากแกลเลอรี่ T293
โซฟาแบบสแกนดิเนเวียนจากยุค 50s หุ้มด้วยผ้า Dedar, ภาพถ่าย "Face 4" Paris 2006 โดย Huber จากแกลเลอรี่ T293

โปรเจ็กต์ในงานตกแต่งภายใน สถาปัตยกรรม และการฟื้นฟูสังคมที่ยั่งยืนทั้งหมดของเขาล้วนมุ่งไปในทิศทางนี้ เริ่มจากโครงการนำร่องที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มอาคารอนุสรณ์ ซึ่งมีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่สิบหก ‘Santa Caterina a Formiello’ ใน Porta Capuana ตั้งแต่ปี 2011 ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่เฉพาะเจาะจงมาก นั่นคือการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างศิลปิน นักออกแบบ และช่างฝีมือ เพื่อสร้างสรรค์กระบวนการผลิตที่ยั่งยืนและมีจริยธรรม ที่สำนักงานใหญ่ของ Officina Keller Napoli ซึ่งเป็นสมาคมที่ก่อตั้งโดยสถาปนิก Martiniello ที่อุทิศให้กับการฟื้นฟูเมืองและการพัฒนาสังคม ซึ่งทั้งในมิติของงานสถาปัตยกรรมและการสังคม คือรากฐานสำคัญของงานที่ทำมาตลอดหลายปีในพื้นที่นี้ Keller Architecture สร้างพื้นที่ภายในขึ้นมาเพื่อให้ Officina Keller Napoli พัฒนาและต่อยอดเรื่องราวเหล่านี้

การตกแต่งแบบโอเรียนทัลในสตูดิโอของสถาปนิกมีมาตั้งแต่การปรับปรุงโครงสร้างใหม่โดยตระกูล Ruffo di Castelcicala ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่สิบเก้า
การตกแต่งแบบโอเรียนทัลในสตูดิโอของสถาปนิกมีมาตั้งแต่การปรับปรุงโครงสร้างใหม่โดยตระกูล Ruffo di Castelcicala ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่สิบเก้า
ในห้องนกยูง เพดานยังคงรักษางานตกแต่งแบบโอเรียนทัลที่ย้อนกลับไปในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่สิบเก้าไว้อย่างสมบูรณ์ โต๊ะ Tecno ออกแบบโดย Osvaldo Borsani ปี 1958, โคมไฟ Charles Eames และประติมากรรม “Popular Houses" โดยศิลปิน Enzo Rusciano, แบบจำลองที่สถาปนิกสร้างขึ้นสำหรับโครงการในคาซัคสถาน, ที่นั่งวินเทจ บนผนังมีงานอาร์ตเวิร์คนีออนโดยศิลปินชาวอังกฤษ Fischerspooner
ในห้องนกยูง เพดานยังคงรักษางานตกแต่งแบบโอเรียนทัลที่ย้อนกลับไปในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่สิบเก้าไว้อย่างสมบูรณ์ โต๊ะ Tecno ออกแบบโดย Osvaldo Borsani ปี 1958, โคมไฟ Charles Eames และประติมากรรม “Popular Houses" โดยศิลปิน Enzo Rusciano, แบบจำลองที่สถาปนิกสร้างขึ้นสำหรับโครงการในคาซัคสถาน, ที่นั่งวินเทจ บนผนังมีงานอาร์ตเวิร์คนีออนโดยศิลปินชาวอังกฤษ Fischerspooner
บริเวณทางเข้า มีหน้าต่างกุหลาบขนาดใหญ่ บนขอบหน้าต่างมีแจกันวินเทจจาก Venini และ Barovier & Toso
บริเวณทางเข้า มีหน้าต่างกุหลาบขนาดใหญ่ บนขอบหน้าต่างมีแจกันวินเทจจาก Venini และ Barovier & Toso

จากปรัชญาการออกแบบของเขา เป็นที่ชัดเจนว่ามรดกทางวัฒนธรรมจะไม่ถูกดองเป็นมัมมี่ มันต้องถูกผสาน ฟื้นฟู และเชื่อมโยงกับพื้นที่อยู่อาศัยจริง ดังตัวอย่างในห้องจีน ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงออกแบบล่าสุดที่เน้นถึงความต่อเนื่องและความสัมพันธ์ระหว่างความเก่าแก่และความร่วมสมัย ที่นี่เองที่แนวคิดนามธรรมของสถาปนิกได้รับการถ่ายทอดให้เป็นรูปธรรมผ่านงานกราฟิกที่แปลงเป็นสีสัน

ห้องที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยวอลล์เปเปอร์เพ้นต์ด้วยมือนี้เป็นห้องโปรโตไทป์ โดยสตูดิโอ Keller สำหรับสร้างแบบจำลองสถาปัตยกรรมและงานเลย์เอาต์
ห้องที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยวอลล์เปเปอร์เพ้นต์ด้วยมือนี้เป็นห้องโปรโตไทป์ โดยสตูดิโอ Keller สำหรับสร้างแบบจำลองสถาปัตยกรรมและงานเลย์เอาต์
รายละเอียดของวอลล์เปเปอร์ในห้องโปรโตไทป์ ก่อนการปรับปรุง ผนังและเพดานถูกหุ้มด้วยผ้าเพราะห้องนี้เคยใช้เป็นโบสถ์มาก่อน เมื่อเอาผ้าออกจึงเผยให้เห็นการตกแต่งด้วยลวดลายผีเสื้อและเฟิร์น
รายละเอียดของวอลล์เปเปอร์ในห้องโปรโตไทป์ ก่อนการปรับปรุง ผนังและเพดานถูกหุ้มด้วยผ้าเพราะห้องนี้เคยใช้เป็นโบสถ์มาก่อน เมื่อเอาผ้าออกจึงเผยให้เห็นการตกแต่งด้วยลวดลายผีเสื้อและเฟิร์น
บนเฟอร์นิเจอร์ Molteni ซึ่งใช้เป็นตัวแบ่งและหัวเตียงของห้องจีนในห้องนอนของที่พักและสตูดิโอ มีโคมไฟวินเทจที่ซื้อจากตลาดขายของเก่าสมัยใหม่ระหว่างการเดินทาง
บนเฟอร์นิเจอร์ Molteni ซึ่งใช้เป็นตัวแบ่งและหัวเตียงของห้องจีนในห้องนอนของที่พักและสตูดิโอ มีโคมไฟวินเทจที่ซื้อจากตลาดขายของเก่าสมัยใหม่ระหว่างการเดินทาง
ความเก่าแก่และสิ่งใหม่ผสมผสานและพันเกี่ยวกันอย่างลงตัว พื้นไม้อัดฟีนอลหลายชั้นในห้องทำต้นแบบเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด โต๊ะทำงานทำจากเหล็กและยางตามการออกแบบของสถาปนิก โคมไฟตั้งโต๊ะ Tizio โดย Artemide, เก้าอี้ Bieffeplast และงานโปรโตไทป์โดย Andrea Anastasio
ความเก่าแก่และสิ่งใหม่ผสมผสานและพันเกี่ยวกันอย่างลงตัว พื้นไม้อัดฟีนอลหลายชั้นในห้องทำต้นแบบเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด โต๊ะทำงานทำจากเหล็กและยางตามการออกแบบของสถาปนิก โคมไฟตั้งโต๊ะ Tizio โดย Artemide, เก้าอี้ Bieffeplast และงานโปรโตไทป์โดย Andrea Anastasio

 บ้านพักและสตูดิโอแห่งนี้เกิดจากการรวมห้องสองห้องที่เคยตกแต่งอย่างงดงามด้วยเทคนิคที่หลากหลายตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 และในตอนนี้ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างลงตัวด้วยการออกแบบสัญลักษณ์ (sign) ร่วมสมัยอันโดดเด่นจากเชือกสีส้มบนผืนผ้า บ้านของเขาแสดงให้เห็นถึงแนวคิดนี้อย่างชัดเจนในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่พื้นที่ การจัดวางองค์ประกอบ ไปจนถึงกระบวนการออกแบบ ล้วนเชื่อมโยงกันอย่างลงตัว สภาพแวดล้อมที่ต่อเนื่องกันนั้น เปรียบเสมือนฉากในภาพยนตร์สั้นที่บอกเล่าเรื่องราวของพื้นที่ที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ที่ซึ่งความทรงจำทางประวัติศาสตร์ การออกแบบ ศิลปะ และเทคโนโลยีได้มาบรรจบกัน แลกเปลี่ยนปฏิสัมพันธ์ และผสมผสานกันอย่างลงตัว

ภายในส่วนห้องนั่งเล่น
ภายในส่วนห้องนั่งเล่น
บนคอนโซลยุค 1700s มีโคมไฟ Taccia ที่ทำจากอะคริลิกรุ่นใหม่ ออกแบบโดย Achille Castiglioni สำหรับ Flos, ภาพถ่ายโดย Alfonso Cacciapuoti
บนคอนโซลยุค 1700s มีโคมไฟ Taccia ที่ทำจากอะคริลิกรุ่นใหม่ ออกแบบโดย Achille Castiglioni สำหรับ Flos, ภาพถ่ายโดย Alfonso Cacciapuoti
บนโต๊ะเหล็กท็อปกระจกรมควันจากยุค 70 มีแจกันโดย Andrea Anastasio และโคมไฟ Joe Colombo สำหรับ Oluce ด้านหลังเป็นห้องสมุดของบ้าน
บนโต๊ะเหล็กท็อปกระจกรมควันจากยุค 70 มีแจกันโดย Andrea Anastasio และโคมไฟ Joe Colombo สำหรับ Oluce ด้านหลังเป็นห้องสมุดของบ้าน
สีแดงปอมเปอีเป็นตัวกำหนดขอบเขตระหว่างพื้นที่ส่วนรวมและพื้นที่ส่วนตัว ในห้องนี้เป็นที่ตั้งของห้องนั่งเล่น โซฟา On the Rocks รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นโดย Edra หุ้มด้วยผ้า Chanel, เก้าอี้เท้าแขน "Bambole" ออกแบบโดย Mario Bellini สำหรับ B&B หุ้มด้วยผ้าเดิมจากปี 1978
สีแดงปอมเปอีเป็นตัวกำหนดขอบเขตระหว่างพื้นที่ส่วนรวมและพื้นที่ส่วนตัว ในห้องนี้เป็นที่ตั้งของห้องนั่งเล่น โซฟา On the Rocks รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นโดย Edra หุ้มด้วยผ้า Chanel, เก้าอี้เท้าแขน "Bambole" ออกแบบโดย Mario Bellini สำหรับ B&B หุ้มด้วยผ้าเดิมจากปี 1978

แต่ละห้องล้วน “ตะโกน” บอกถึงความแตกต่างระหว่างอดีตและปัจจุบันอย่างชัดเจน การบูรณะที่ใส่ใจในรายละเอียดช่วยเสริมความโดดเด่นของวัสดุ ในขณะเดียวกันก็ซ่อนร่องรอยของการปรับปรุงใหม่ได้อย่างแนบเนียน ตั้งแต่ห้องนกยูงสู่ห้องปอมเปอี (Pompeii) สีแดง ห้องจีนที่เพิ่งปรับปรุงใหม่ ไปจนถึงห้องสมุดอันเงียบสงบ แต่ละห้องคือบทกวีที่ร้อยเรียงเรื่องราวอันน่าค้นหา วอลล์เปเปอร์ที่เสื่อมสภาพและหลุดร่อนตามเวลา กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งและผสมผสานอย่างกลมกลืน การตกแต่งสไตล์ตะวันออกในห้องนกยูงและห้องผีเสื้อเผยเรื่องราวและเกร็ดประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันน่าสนใจ แต่ละห้องจะมีการตกแต่งที่เฉพาะเจาะจงแตกต่างกันออกไปตามแฟชั่นของยุคนั้น และสิ่งที่ยังคงอยู่รอดผ่านกาลเวลาได้นำความล้ำค่าของเทคนิคการเลียนแบบไม้หรือหินอ่อนโบราณในศตวรรษที่ 19 กลับคืนมา

บนโต๊ะที่ออกแบบโดยสถาปนิกเอง มีอของตกแต่งที่ซื้อจากร้านขายของเก่า บนผนังมีผลงานศิลปะของ Alberto Tadiello เก้าอี้ไฟเบอร์กลาส Artemide ยุค 60s และเก้าอี้เท้าแขนหนังเทียมและเรซินยุค 70s
บนโต๊ะที่ออกแบบโดยสถาปนิกเอง มีอของตกแต่งที่ซื้อจากร้านขายของเก่า บนผนังมีผลงานศิลปะของ Alberto Tadiello เก้าอี้ไฟเบอร์กลาส Artemide ยุค 60s และเก้าอี้เท้าแขนหนังเทียมและเรซินยุค 70s
โต๊ะและเก้าอี้ Fiarm งานศิลปะโดย Stefano Dordiglione
โต๊ะและเก้าอี้ Fiarm งานศิลปะโดย Stefano Dordiglione
ห้องสมุดเป็นส่วนที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัวที่สุดของบ้าน เชื่อมกับพื้นที่นอน ซึ่งต่อไปยังห้องจีนผ่านทางเดินส่วนตัวที่ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้า ใจกลางห้องมีโซฟา Frighetto สีเขียวและดำจากผ้าอัลคันทาร่า บนผนังมีผลงานของศิลปิน Rosy Roxy เก้าอี้เท้าแขนไฟเบอร์กลาส Artemide ยุค 60s บนชั้นหนังสือ Ycami มีผลงานของศิลปิน Kelvin Grey จากลอนดอน
ห้องสมุดเป็นส่วนที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัวที่สุดของบ้าน เชื่อมกับพื้นที่นอน ซึ่งต่อไปยังห้องจีนผ่านทางเดินส่วนตัวที่ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้า ใจกลางห้องมีโซฟา Frighetto สีเขียวและดำจากผ้าอัลคันทาร่า บนผนังมีผลงานของศิลปิน Rosy Roxy เก้าอี้เท้าแขนไฟเบอร์กลาส Artemide ยุค 60s บนชั้นหนังสือ Ycami มีผลงานของศิลปิน Kelvin Grey จากลอนดอน

แต่ละห้องคือบทกวีที่ร้อยเรียงเรื่องราวอันน่าค้นหา วอลล์เปเปอร์ที่เสื่อมสภาพและหลุดร่อนตามเวลา กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งและผสมผสานอย่างกลมกลืน การตกแต่งสไตล์ตะวันออกในห้องนกยูงและห้องผีเสื้อเผยเรื่องราวและเกร็ดประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันน่าสนใจ แต่ละห้องจะมีการตกแต่งที่เฉพาะเจาะจงแตกต่างกันออกไปตามแฟชั่นของยุคนั้น และสิ่งที่ยังคงอยู่รอดผ่านกาลเวลาได้นำความล้ำค่าของเทคนิคการเลียนแบบไม้หรือหินอ่อนโบราณในศตวรรษที่ 19 กลับคืนมา

ในห้องจีนที่ปรับเปลี่ยนเป็นสตูดิโอพักอาศัย มีเก้าอี้เท้าแขน Frau ที่หุ้มด้วยผ้ารุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นโดย Wonder Mooi นักออกแบบชาวดัตช์ ตั้งอยู่ 2 ตัว บนผนังมีผลงาน "il clochard di via Costantinopoli" โดยศิลปิน Riccardo Albanese
ในห้องจีนที่ปรับเปลี่ยนเป็นสตูดิโอพักอาศัย มีเก้าอี้เท้าแขน Frau ที่หุ้มด้วยผ้ารุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นโดย Wonder Mooi นักออกแบบชาวดัตช์ ตั้งอยู่ 2 ตัว บนผนังมีผลงาน "il clochard di via Costantinopoli" โดยศิลปิน Riccardo Albanese
ภาพมุมตรงข้ามของห้องนอนของส่วนพักอาศัยในสดูดิโอ ผ้าคลุมเตียง Berber Suzani มาจากการเดินทางของไปยังอุซเบกิสถาน ห้องนี้เกิดจากการรวมห้องสองห้องที่ตกแต่งด้วยแผงไม้ที่แตกต่างกัน สถาปนิกได้รวมห้องทั้งสองเข้าด้วยกันโดยใช้สัญลักษณ์กราฟิกร่วมสมัย ตกแต่งด้วย โต๊ะและเก้าอี้ Fiarm โคมไฟไม้ไผ่ Viabizzuno และโคมไฟสีแดง
ภาพมุมตรงข้ามของห้องนอนของส่วนพักอาศัยในสดูดิโอ ผ้าคลุมเตียง Berber Suzani มาจากการเดินทางของไปยังอุซเบกิสถาน ห้องนี้เกิดจากการรวมห้องสองห้องที่ตกแต่งด้วยแผงไม้ที่แตกต่างกัน สถาปนิกได้รวมห้องทั้งสองเข้าด้วยกันโดยใช้สัญลักษณ์กราฟิกร่วมสมัย ตกแต่งด้วย โต๊ะและเก้าอี้ Fiarm โคมไฟไม้ไผ่ Viabizzuno และโคมไฟสีแดง

สิ่งที่เชื่อมโยงห้องต่างๆ ที่เปิดโล่งและเชื่อมต่อกันเหล่านี้ไว้ด้วยกันคือศิลปะในทุกรูปแบบ จากผลงานของ Harry Pearce “Poetry in THE street of Naples” ไปจนถึงผลงานของ Rosy Roxy, Salvino Campos, Andrea Anastasio, Ryan Mendoza, Fischerspooner และ Alberto Tadiello ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาแห่งความคิดสร้างสรรค์ของที่นี่ การออกแบบได้แสดงออกถึงศักยภาพอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นงานอุตสาหกรรม งานฝีมือ งานไอคอนวินเทจ ล้วนสร้างสรรค์บทสนทนาอย่างเท่าเทียม

โต๊ะและเก้าอี้ Fiarm
โต๊ะและเก้าอี้ Fiarm
ทางเข้าบ้านและสตูดิโอแห่งนี้ พื้นที่อยู่อาศัยแบ่งออกเป็นสองส่วน ฝั่งขวาสำหรับทำงาน ฝั่งซ้ายสำหรับชีวิตส่วนตัว ผนังทุกห้องในส่วนนี้มีการตกแต่งปูนปั้นเลียนแบบลายไม้ตามเทคนิคในศตวรรษที่สิบเก้า กระเบื้องยังเลียนแบบแก่นไม้ กระจกบานใหญ่มีมาตั้งแต่ปี 1850 ตรงกลางห้องมีโซฟา San Siro ปี 1967 จากคอลเล็กชัน Azucena 1967 ที่ออกแบบโดย Luigi Caccia Dominioni อยุ่สองตัว, ตู้ไม้เคลือบแลคเกอร์ ออกแบบโดย Ettore Sottsass จากปี 1985 ทำหน้าที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างพื้นที่ทำงานและพื้นที่สำหรับที่พักและสตูดิโอสำหรับศิลปินและสถาปนิกหนุ่มสาว บนพื้นมีประติมากรรมโดยศิลปิน Nicola Rivelli, โคมไฟ Vase ของ Viabizzuno
ทางเข้าบ้านและสตูดิโอแห่งนี้ พื้นที่อยู่อาศัยแบ่งออกเป็นสองส่วน ฝั่งขวาสำหรับทำงาน ฝั่งซ้ายสำหรับชีวิตส่วนตัว ผนังทุกห้องในส่วนนี้มีการตกแต่งปูนปั้นเลียนแบบลายไม้ตามเทคนิคในศตวรรษที่สิบเก้า กระเบื้องยังเลียนแบบแก่นไม้ กระจกบานใหญ่มีมาตั้งแต่ปี 1850 ตรงกลางห้องมีโซฟา San Siro ปี 1967 จากคอลเล็กชัน Azucena 1967 ที่ออกแบบโดย Luigi Caccia Dominioni อยุ่สองตัว, ตู้ไม้เคลือบแลคเกอร์ ออกแบบโดย Ettore Sottsass จากปี 1985 ทำหน้าที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างพื้นที่ทำงานและพื้นที่สำหรับที่พักและสตูดิโอสำหรับศิลปินและสถาปนิกหนุ่มสาว บนพื้นมีประติมากรรมโดยศิลปิน Nicola Rivelli, โคมไฟ Vase ของ Viabizzuno
กระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่เป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดียวที่ยังคงอยู่รอดผ่านกาลเวลามาได้ เช่นเดียวกับผนัง มีการตกแต่งปูนปั้นลายไม้เลียนแบบตามเทคนิคการขึ้นรูปโบราณในศตวรรษที่สิบเก้า
กระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่เป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดียวที่ยังคงอยู่รอดผ่านกาลเวลามาได้ เช่นเดียวกับผนัง มีการตกแต่งปูนปั้นลายไม้เลียนแบบตามเทคนิคการขึ้นรูปโบราณในศตวรรษที่สิบเก้า
ตู้ไม้เคลือบแลคเกอร์ที่ออกแบบโดย Ettore Sottsass ในปี 1985 ทำหน้าที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างพื้นที่ทำงานและพื้นที่สำหรับเป็นที่พักและสตูดิโอสำหรับศิลปินและสถาปนิกหนุ่มสาว
ตู้ไม้เคลือบแลคเกอร์ที่ออกแบบโดย Ettore Sottsass ในปี 1985 ทำหน้าที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างพื้นที่ทำงานและพื้นที่สำหรับเป็นที่พักและสตูดิโอสำหรับศิลปินและสถาปนิกหนุ่มสาว
สถาปนิก Antonio Martiniello
สถาปนิก Antonio Martiniello

“นอกจากมรดกตกทอดอันล้ำค่าและของหายากที่ส่งต่อมาจากมิตรสหายแล้ว บ้านหลังนี้ยังเป็นที่ซึ่งลมหายใจสิ่งของเหล่านั้นยังคงอยู่ ที่นี่มีทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตและการทำงานโดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การแบ่งปัน “กระบวนการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรม”

Story and Styling: Sonia Cocozza
Photos: Nathalie Krag/Living Inside
Architect: Antonio Giuseppe Martiniello
Translate: Wachirapanee Whisky Markdee

Share

Historical palazzo in the center of Napoli restored and transformed into studio and private house. This space is an interesting result of layers of history from different eras, side by side, vintage and modern design, reflecting perfectly the architectural approach of architect Antonio Giuseppe Martiniello. A perfect set-up for continuous within film, fashion, art and design. This is a place where “Mussolini: Son of the Century” a new series from Joe Wright were filmed.

Beyond the enormous neoclassical facade lies the story of a house with a significant past. Memories and testimonies surviving time adorn the inner courtyard, revealing through the coat of arms the chosen place of the noble Ruffo di Castelcicala family. “Nunquam retrorsum.” “Never backward.” Thus reads the motto, which, together with a half rearing horse, overlooks the piperno stairs leading to the noble floor. Clues from this aristocratic past have allowed architect Antonio Giuseppe Martiniello to bring about an authentic spatial revolution consistent with the spirit of the place. We are in Naples, in his home-studio dating back to 1690, renovated in the 1800s, uninhabited for over ninety years and reborn thanks to his intervention.

Today, the house is the headquarters of Keller Architecture, a place where the ever-changing grammar of good architecture must face ever-new challenges. His way of feeling architecture as a phenomenon of change in which the present is correlated with the historical development of the past constantly drives him to transcend his boundaries, leaving a strong mark everywhere. His postgraduate training in Austria, in Graz, played a fundamental role in shaping his conception of space. “I love Naples, I defend my roots, but I feel very European. Naples is a stimulating city, the physical place where years of architectural research are encapsulated. I think my city is still far from the standardization of taste. My studio, like my home, is a place open to cultural exchange, contamination, confrontation. In a city like Naples where everything new is quickly re-elaborated, regenerated, and innovated, it is stimulating to develop a dynamic architectural language. Innovating for me means recovering the historical memory of a place, a house, and projecting it into the future of modernity. Past, present, and future I see as a linear continuum.” All his projects in interior architecture and social regeneration with a sustainable approach move in this direction. Starting from the pilot project that has been affecting the sixteenth-century Monumental Complex of Santa Caterina a Formiello in Porta Capuana since 2011, everything moves in a very specific direction: promoting interaction between artists, designers, and artisans, giving life to an ethical and inclusive production chain. Here is the headquarters of Officina Keller Napoli, an association founded by architect Martiniello, dedicated to urban regeneration and social conversion. The two dimensions, architectural and social, are the fundamental pillars of the activity that the architect has been carrying out for years in the territory. Keller Architecture creates the containers within which Officina Keller Napoli elaborates and develops the contents.

Following his design philosophy, it is clear that cultural heritage cannot be mummified; it must be integrated, regenerated, and related to the lived space. This is what happened in the Chinese room, born from a recent design intervention that highlights the theme of continuity and the relationship between ancient and contemporary. Here the architect’s abstract idea takes on concreteness through graphic representation translated into colour. The residence-studio, in fact, arises from the sum of two rooms, decorated in the nineteenth century with various forming techniques, now ideally unified through a recognizable contemporary sign: an orange thread in fabric. His house embodies this code everywhere; in its space, compositional research and design process merge. The interconnected environments, in their succession, tell like frames of a short film, the scenographies of a revitalized space, where historical memory, design, art, and technology activate exchanges and interactions, blending together.

Each room “screams,” highlighting the differences between ancient and modern presences, enhancing finishes through philological restorations that intentionally tend to mystify contemporary interventions. From the peacock room to the Pompeii red one, from the very recent Chinese room to the library, it is a succession of citations. Each environment is a layered poetic narrative. The wallpaper, deteriorated and detached by time, comes back to life and contaminates; the oriental decorations of the peacock and butterfly room reveal stories and anecdotes of a cultured past. According to the fashion of the time, each room had to have a specific decoration, and what has survived the patina of the years returns the preciousness of ancient nineteenth-century techniques that imitated wood or marble.

What ties all these open and communicating rooms together is art in all its forms. From the works of Harry Pearce “Poetry in THE street of Naples” to those of Rosy Roxy, Salvino Campos, Andrea Anastasio, Ryan Mendoza, Fischerspooner, and Alberto Tadiello. Here, in a highly creative atmosphere, design also explodes. Pieces of industrial production, exquisitely crafted pieces, vintage icons dialogue without one prevailing over the other.

“Then there are inheritances and rarities, those coming from friends’ houses. Unobtainable pieces that breathe here.” In this house, there is everything needed for a live-work always focused on sharing the “making of architecture.”