Home
Through The Lens Of Time
พาลาซโซเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ใจกลางเมืองเนเปิลส์ได้รับการบูรณะและแปลงโฉมเป็นสตูดิโอและบ้านส่วนตัว กลายเป็นผลลัพธ์ที่น่าสนใจของการซ้อนทับของประวัติศาสตร์ต่างยุคสมัย และยังเป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำ “Mussolini: Son of the Century” ซีรีส์ใหม่ของผู้กำกับ Joe Wright (Atonement, Pride & Prejudice, Darkest Hour) ที่เพิ่งออกอากาศทาง Sky TV

เบื้องหลังฟาซาดสไตล์นีโอคลาสสิกขนาดใหญ่อันเต็มไปด้วยเรื่องราวในอดีต ความทรงจำและคำบอกเล่าหลงเหลือผ่านกาลเวลาอยู่ภายในลานบ้าน เผยให้เห็นผ่านตราอาร์มว่าที่นี่คือสถานที่ซึ่งตระกูลขุนนาง Ruffo di Castelcicala เลือกที่จะใช้เป็นที่พำนัก “Nunquam retrorsum” ที่แปลว่า “ไม่เคยถอยหลัง” คือคำขวัญ ซึ่งอยู่ร่วมกับรูปม้าครึ่งตัวที่กำลังยกขา (half rearing horse) มองลงมาจากบันไดหิน piperno ที่นำไปสู่ชั้นบนของคฤหาสน์ ร่องรอยแห่งอดีตอันสูงศักดิ์นี้เอง ที่ทำให้สถาปนิก Antonio Giuseppe Martiniello สามารถรังสรรค์การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ได้อย่างสมบูรณ์ โดยยังคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์ของสถานที่ โฮมสตูดิโอในเนเปิลส์ที่ก่อสร้างมาตั้งแต่ช่วง 1690 และได้รับการบูรณะในช่วงทศวรรษที่ 1800 หลังจากถูกทิ้งร้างมากว่าเก้าสิบปี อาคารแห่งนี้จึงได้มีชีวิตใหม่ขึ้นมาอีกครั้งด้วยฝีมือของเขา


“ผมชอบเนเปิลส์ ในฐานะที่เป็นรากเหง้าของผม แต่ผมก็รู้สึกถึงความเป็นยูโรเปียนอย่างมาก เนเปิลส์เป็นเมืองที่เร้าใจ เป็นสถานที่ที่งานวิจัยทางสาปัตยกรรมถูกเก็บใส่แคปซูลไว้อย่างยาวนาน ผมคิดว่าเมืองของผมยังห่างไกลจากการสร้างมาตรฐานทางรสนิยม สตูดิโอที่เป็นเหมือนบ้านของผมเปิดกว้างสำหรับการแลกเปลี่ยน การผสมผสาน และการเผชิญหน้าทางวัฒนธรรม ในเนเปิลส์ซึ่งเป็นเมืองที่สิ่งใหม่ๆ ได้รับการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และพัฒนาอย่างรวดเร็ว การสร้างสรรค์ภาษาทางสถาปัตยกรรมที่มีชีวิตชีวาจึงเป็นเรื่องท้าทายและน่าตื่นเต้น สำหรับผม นวัตกรรม คือการนำความทรงจำทางประวัติศาสตร์ของสถานที่แห่งหนึ่ง ของบ้านหลังหนึ่ง กลับมาอีกครั้ง และส่งต่อมันสู่อนาคตที่ทันสมัย ผมมองว่าอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง”
โปรเจ็กต์ในงานตกแต่งภายใน สถาปัตยกรรม และการฟื้นฟูสังคมที่ยั่งยืนทั้งหมดของเขาล้วนมุ่งไปในทิศทางนี้ เริ่มจากโครงการนำร่องที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มอาคารอนุสรณ์ ซึ่งมีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่สิบหก ‘Santa Caterina a Formiello’ ใน Porta Capuana ตั้งแต่ปี 2011 ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่เฉพาะเจาะจงมาก นั่นคือการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างศิลปิน นักออกแบบ และช่างฝีมือ เพื่อสร้างสรรค์กระบวนการผลิตที่ยั่งยืนและมีจริยธรรม ที่สำนักงานใหญ่ของ Officina Keller Napoli ซึ่งเป็นสมาคมที่ก่อตั้งโดยสถาปนิก Martiniello ที่อุทิศให้กับการฟื้นฟูเมืองและการพัฒนาสังคม ซึ่งทั้งในมิติของงานสถาปัตยกรรมและการสังคม คือรากฐานสำคัญของงานที่ทำมาตลอดหลายปีในพื้นที่นี้ Keller Architecture สร้างพื้นที่ภายในขึ้นมาเพื่อให้ Officina Keller Napoli พัฒนาและต่อยอดเรื่องราวเหล่านี้

จากปรัชญาการออกแบบของเขา เป็นที่ชัดเจนว่ามรดกทางวัฒนธรรมจะไม่ถูกดองเป็นมัมมี่ มันต้องถูกผสาน ฟื้นฟู และเชื่อมโยงกับพื้นที่อยู่อาศัยจริง ดังตัวอย่างในห้องจีน ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงออกแบบล่าสุดที่เน้นถึงความต่อเนื่องและความสัมพันธ์ระหว่างความเก่าแก่และความร่วมสมัย ที่นี่เองที่แนวคิดนามธรรมของสถาปนิกได้รับการถ่ายทอดให้เป็นรูปธรรมผ่านงานกราฟิกที่แปลงเป็นสีสัน
บ้านพักและสตูดิโอแห่งนี้เกิดจากการรวมห้องสองห้องที่เคยตกแต่งอย่างงดงามด้วยเทคนิคที่หลากหลายตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 และในตอนนี้ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างลงตัวด้วยการออกแบบสัญลักษณ์ (sign) ร่วมสมัยอันโดดเด่นจากเชือกสีส้มบนผืนผ้า บ้านของเขาแสดงให้เห็นถึงแนวคิดนี้อย่างชัดเจนในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่พื้นที่ การจัดวางองค์ประกอบ ไปจนถึงกระบวนการออกแบบ ล้วนเชื่อมโยงกันอย่างลงตัว สภาพแวดล้อมที่ต่อเนื่องกันนั้น เปรียบเสมือนฉากในภาพยนตร์สั้นที่บอกเล่าเรื่องราวของพื้นที่ที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ที่ซึ่งความทรงจำทางประวัติศาสตร์ การออกแบบ ศิลปะ และเทคโนโลยีได้มาบรรจบกัน แลกเปลี่ยนปฏิสัมพันธ์ และผสมผสานกันอย่างลงตัว
แต่ละห้องล้วน “ตะโกน” บอกถึงความแตกต่างระหว่างอดีตและปัจจุบันอย่างชัดเจน การบูรณะที่ใส่ใจในรายละเอียดช่วยเสริมความโดดเด่นของวัสดุ ในขณะเดียวกันก็ซ่อนร่องรอยของการปรับปรุงใหม่ได้อย่างแนบเนียน ตั้งแต่ห้องนกยูงสู่ห้องปอมเปอี (Pompeii) สีแดง ห้องจีนที่เพิ่งปรับปรุงใหม่ ไปจนถึงห้องสมุดอันเงียบสงบ แต่ละห้องคือบทกวีที่ร้อยเรียงเรื่องราวอันน่าค้นหา วอลล์เปเปอร์ที่เสื่อมสภาพและหลุดร่อนตามเวลา กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งและผสมผสานอย่างกลมกลืน การตกแต่งสไตล์ตะวันออกในห้องนกยูงและห้องผีเสื้อเผยเรื่องราวและเกร็ดประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันน่าสนใจ แต่ละห้องจะมีการตกแต่งที่เฉพาะเจาะจงแตกต่างกันออกไปตามแฟชั่นของยุคนั้น และสิ่งที่ยังคงอยู่รอดผ่านกาลเวลาได้นำความล้ำค่าของเทคนิคการเลียนแบบไม้หรือหินอ่อนโบราณในศตวรรษที่ 19 กลับคืนมา

แต่ละห้องคือบทกวีที่ร้อยเรียงเรื่องราวอันน่าค้นหา วอลล์เปเปอร์ที่เสื่อมสภาพและหลุดร่อนตามเวลา กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งและผสมผสานอย่างกลมกลืน การตกแต่งสไตล์ตะวันออกในห้องนกยูงและห้องผีเสื้อเผยเรื่องราวและเกร็ดประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันน่าสนใจ แต่ละห้องจะมีการตกแต่งที่เฉพาะเจาะจงแตกต่างกันออกไปตามแฟชั่นของยุคนั้น และสิ่งที่ยังคงอยู่รอดผ่านกาลเวลาได้นำความล้ำค่าของเทคนิคการเลียนแบบไม้หรือหินอ่อนโบราณในศตวรรษที่ 19 กลับคืนมา

สิ่งที่เชื่อมโยงห้องต่างๆ ที่เปิดโล่งและเชื่อมต่อกันเหล่านี้ไว้ด้วยกันคือศิลปะในทุกรูปแบบ จากผลงานของ Harry Pearce “Poetry in THE street of Naples” ไปจนถึงผลงานของ Rosy Roxy, Salvino Campos, Andrea Anastasio, Ryan Mendoza, Fischerspooner และ Alberto Tadiello ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาแห่งความคิดสร้างสรรค์ของที่นี่ การออกแบบได้แสดงออกถึงศักยภาพอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นงานอุตสาหกรรม งานฝีมือ งานไอคอนวินเทจ ล้วนสร้างสรรค์บทสนทนาอย่างเท่าเทียม

Story and Styling: Sonia Cocozza
Photos: Nathalie Krag/Living Inside
Architect: Antonio Giuseppe Martiniello
Translate: Wachirapanee Whisky Markdee