Home
Hidden Colony
เมื่อเมื่อก้าวเข้าไปในบ้านสีขาวทรงกล่องเรียบง่าย ในย่านอันเงียบสงบใกล้กับทิวเขาของเมืองชายทะเลหัวหิน จะพบกับหลากหลายรายละเอียดที่สัมผัสได้ทันทีถึงความพิเศษ สมกับที่เป็นบ้านพักตากอากาศของคุณบาส นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ผู้กำกับมือรางวัลที่สร้างภาพยนตร์เลื่องชื่อมาแล้วหลากหลายเรื่อง และมีลายเซ็นที่เป็นตัวของตัวเองอย่างเด่นชัด
บ้านชั้นเดียวหลังนี้มี 4 ห้องนอน และถูกออกแบบเป็นทรงตัว L โอบล้อมลานกว้างและสระว่ายน้ำ มีจอฉายภาพยนตร์กลางแจ้งอยู่ริมสระ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นส่วนโซฟาแบบ sunken pit สำหรับเป็นมุมพักผ่อนแสนสบาย ริมสระอีกด้านจัดเป็นบริเวณสำหรับรับประทานอาหาร ส่วนภายในบ้านเป็นแบบเปิดโล่ง มี living area ที่เพียงเลื่อนประตูกระจกก็จะเชื่อมต่อกับลานนอกบ้านได้ทันที ถัดมาเป็นโซนทำครัวสีดำขรึม มีกิมมิคเป็นป้ายตัวอักษรคำว่า EAT แบบหน้าโรงหนังสมัยก่อนอยู่เหนือบริเวณแพนทรี
“จุดเริ่มต้นคืออยากทำบ้านพักตากอากาศให้พ่อแม่ ได้คุยกันมานานและแกไม่เคยมีบ้านหลังใหญ่ๆแบบนี้ พอถึงจุดที่เราพอจะทำได้เราก็เลยทำ ตอนทำใหม่ๆก็เห่อ ไปบ่อยมาก แต่สักพักก็ไม่ค่อยมีคนไป ซึ่งบ้านเป็นสิ่งที่แปลก พอไม่มีคนอยู่มันจะเก่าเร็ว และขาดอะไรบางอย่าง เหมือนขาดชีวิตชีวา เราจึงคิดว่าน่าจะหาทางทำให้เกิดประโยชน์ จึงนำมาปล่อยให้เช่าด้วย ซึ่งตอนแรกไม่คิดเลยว่าจะให้เช่าเพราะผมหวงบ้านมาก แต่ก็ปรับความคิดและยอมแชร์สิ่งนี้กับคนอื่น ซึ่งมันก็มีข้อดีมากกว่าจริงๆ” คุณบาสเล่าถึงที่มาที่ไปของบ้านหลังนี้
“ที่เลือกหัวหินเพราะเป็นเมืองที่กำลังดีกับความเป็นครอบครัว เป็นเมืองชายทะเลที่ไม่ได้ไกลจากกรุงเทพฯมาก มีทุกอย่างครบ ทั้งความครึกครื้น กิจกรรม ร้านอาหาร ผู้คน รวมทั้งเมื่อตอนเด็กๆ ผมก็มีความทรงจำที่ดีกับการไปเที่ยวหัวหินกับที่บ้าน เลยมองหาบ้านที่นี่ ส่วนแนวทางการตกแต่งคือแต่งตามสไตล์ที่ชอบ ผมคิดว่าบ้านต้องมี message ที่อยากสื่อออกมา ถ้าพูดถึงว่าบ้านหลังนี้มันคืออะไร ก็คือบ้านที่คนทำหนังมาทำ ก็คิดไปถึงแถบ Palm Springs แคลิฟอร์เนีย จะมีย่านหนึ่งชื่อว่า The Movie Colony เป็นย่านที่คนในวงการภาพยนตร์เขาอยู่กัน อย่างเช่น Frank Sinatra เป็นย่านที่มีมาตั้งแต่ยุค 50s ซึ่งจะเป็นสไตล์ Mid Century ผมเลยเลือกแนวทางนี้จะได้มีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน และด้วย vibes ของหัวหินที่ใกล้ทะเล มีวิวภูเขา มีต้นมะพร้าว ต้นปาล์ม ก็ให้ความรู้สึกว่ามันใกล้เคียงกับย่านนั้น และ The Colony ก็กลายเป็นชื่อของที่นี่ด้วย”
ในโซนห้องนั่งเล่น นอกจากการตกแต่งแบบ Mid Century ที่เห็นได้ชัดตั้งแต่ผนังหินสีธรรมชาติ และเฟอร์นิเจอร์ที่มีกลิ่นอาย 50s ยังมีสไตล์ของความ Industrial Loft ผสมเข้ามา ด้วยการเปิดเพดานสูงและโชว์คานปูนเปลือยมีเหล็กประกับ “ตอนที่ซื้อบ้านหลังนี้ บ้านยังสร้างไม่เสร็จ ก็เลยได้มีโอกาสดีไซน์เองกับทางโครงการ ซึ่งโดยส่วนตัวผมชอบสไตล์ Loft บ้านที่กรุงเทพฯ ก็เป็นสไตล์นี้ เลยขอใส่ความชอบของเรามาด้วย ซึ่ง Mid Century กับ Loft อาจจะดูไม่เข้ากันแต่มันก็ผสมกันออกมาได้กลมกลืน”
“เนื่องจากเป็นบ้านของครอบครัว การออกแบบห้องนอนจึงพยายามดีไซน์ให้แต่ละห้องมีคาแรกเตอร์ไม่ซ้ำกัน อย่างห้องที่ทำให้คุณแม่จะมีความ Tropical ในแบบที่คุณแม่ชอบ
หรือห้องนอนสีขาวสไตล์ Nordic ก็ดีไซน์ให้น้องสาว ส่วนห้องนอนใหญ่ก็ทำแบบที่ตัวเองชอบ พวกของตกแต่งจะมาจากของสะสมส่วนตัว และผมเคยเปิดร้านขายโปสเตอร์ก็เอาของจากที่ร้านมาใส่ไว้ด้วยกัน” จึงไม่น่าแปลกใจที่เครื่องประดับบ้านแทบทุกชิ้นมีเรื่องราวของวงการภาพยนตร์สอดแทรกอยู่ และห้องแต่ละห้องก็ถูกตั้งชื่อตามตัวละครต่างๆ ในโลกภาพยนตร์
“ตอนที่คิดออกแบบ การตกแต่ง การจัดวางผมจะคิดเป็นเฟรมเหมือนตอนที่ผมทำหนัง เช่น ผมจะคิดว่ามุมๆ นี้ซึ่งจะต้องเกิดการถ่ายรูปแน่ๆ เราควรจะวางเฟอร์นิเจอร์ วางของตกแต่งแต่ละชิ้นตรงไหนยังไง ใช้คู่สีอะไร ผมคิดถึงรายละเอียดเหมือนการถ่ายหนังแต่ละเฟรมที่ต้องจัดองค์ประกอบ ซึ่งผมเอ็นจอยมากโดยไม่รู้ตัว และการทำบ้านได้กลายเป็น new found passion งานอดิเรกใหม่นอกเหนือจากงานประจำวันของผมซึ่งคือการทำหนัง ผมรู้สึกว่าการทำบ้านมันก็คล้ายกันคือเป็นการสร้างโลกบางอย่างขึ้นมา ภาพยนตร์คือการที่คนดูเข้าไปเจอโลกใบที่เรา convince และเราเล่าให้เขาฟัง ส่วนบ้านเอง ผู้ที่เข้ามาพักก็เป็นเหมือนคนดูที่เข้าไปในโลกใบนั้นเหมือนกัน แล้วเราเล่าสตอรี่หรือสร้างบรรยากาศต่างๆ ผ่านการตกแต่ง ดีไซน์ ฟังค์ชั่น หรือธีมที่เราวางไว้”
“ตอนที่คิดออกแบบ การตกแต่ง การจัดวางผมจะคิดเป็นเฟรมเหมือนตอนที่ผมทำหนัง เช่น ผมจะคิดว่ามุมๆ นี้ซึ่งจะต้องเกิดการถ่ายรูปแน่ๆ เราควรจะวางเฟอร์นิเจอร์ วางของตกแต่งแต่ละชิ้นตรงไหนยังไง ใช้คู่สีอะไร ผมคิดถึงรายละเอียดเหมือนการถ่ายหนังแต่ละเฟรมที่ต้องจัดองค์ประกอบ ซึ่งผมเอ็นจอยมากโดยไม่รู้ตัว และการทำบ้านได้กลายเป็น new found passion งานอดิเรกใหม่นอกเหนือจากงานประจำวันของผมซึ่งคือการทำหนัง
ผมรู้สึกว่าการทำบ้านมันก็คล้ายกันคือเป็นการสร้างโลกบางอย่างขึ้นมา ภาพยนตร์คือการที่คนดูเข้าไปเจอโลกใบที่เรา convince และเราเล่าให้เขาฟัง ส่วนบ้านเอง ผู้ที่เข้ามาพักก็เป็นเหมือนคนดูที่เข้าไปในโลกใบนั้นเหมือนกัน แล้วเราเล่าสตอรี่หรือสร้างบรรยากาศต่างๆ ผ่านการตกแต่ง ดีไซน์ ฟังค์ชั่น หรือธีมที่เราวางไว้”
“ตอนที่บ้านเสร็จแล้วชวนทั้งครอบครัวมาด้วยกัน ก็เป็นความทรงจำที่ดีมากๆ ส่วนตัวผมเอง คือพอเราโตแล้วต่างคนต่างไปมีโลกของตัวเอง ไม่ค่อยได้มาจอยกัน พอทำบ้านหลังนี้ขึ้นมาแล้วเป็นสเปซที่ทุกคนได้มาใช้เวลาร่วมกัน มันก็ทำให้รู้สึกว่าการอยู่กับครอบครัว เพื่อน หรือคนที่เรารักในพื้นที่หนึ่งมันก็มีความหมายและก็หวังว่าสเปซนั้นจะซัพพอร์ตความรู้สึกนั้นให้ได้มากที่สุด”
“ถ้าอยากให้คนที่เข้ามาในบ้านหลังนี้แล้วรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในหนังสักเรื่อง ก็คงอยากให้เป็นหนังครอบครัวที่มีความอบอุ่น เป็นบ้านที่ทำให้ได้เน้นการใช้เวลากับครอบครัว หรือกับคนที่มีความหมายกับเรา เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
และหากเปรียบบ้านหลังนี้เป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่เขากำกับ ก็เป็นที่มั่นใจได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะสร้างความประทับใจให้กับคนดูได้ไม่แพ้ผลงานเรื่องอื่นๆ ของเขาอย่างแน่นอน เพราะทั้งองค์ประกอบ บรรยากาศ และเรื่องราวทุกอย่าง ล้วนลงตัว กลมกล่อม และมีสไตล์อย่างน่าจดจำ
และหากเปรียบบ้านหลังนี้เป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่เขากำกับ ก็เป็นที่มั่นใจได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะสร้างความประทับใจให้กับคนดูได้ไม่แพ้ผลงานเรื่องอื่นๆ ของเขาอย่างแน่นอน เพราะทั้งองค์ประกอบ บรรยากาศ และเรื่องราวทุกอย่าง ล้วนลงตัว กลมกล่อม และมีสไตล์อย่างน่าจดจำ
FB: The Colony Huahin
IG: thecolonyhuahin
Line: @thecolonyhuahin
Tel: (66) 95 747 9580
Story: Titima C.
Styling: Whisky Markdee
Photos: Manoo Manookulkit