Home
A Sacred Nature
การย้ายบ้านไม่เคยอยู่ในแพลนของคู่รักชาวเบลเยียมคู่นี้เลย แต่ก็นั่นแหละ สิ่งที่ดีที่สุดมักเกิดจากความบังเอิญอย่างที่ใครเขาว่ากัน หรือไม่ บางทีก็อาจจะเป็นของขวัญที่โชคชะตาประทานมาให้ก็เป็นได้
ซึ่งมันได้เกิดขึ้นกับ Els Lambrechts และ Ken Joris สามีของเธอ ขณะกำลังขับรถวินเทจของพวกเขาอยู่ในเขตเทศบาลเมือง Meer ใน Antwerp ทั้งคู่ได้สะดุดเข้ากับโรงกลั่นจูนิเปอร์ที่ติดกับโบสถ์โบราณและสวนสวยแสนอัศจรรย์ที่ปล่อยให้พืชพรรณเติบโตอย่างอิสระและเป็นเอกเทศน์ หกปีต่อมา ทั้งสองได้แปลงโฉมพื้นที่ใน Noorderkempen ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของแอนต์เวิร์ป ใกล้กับชายแดนเนเธอร์แลนด์แห่งนี้ ซึ่งเป็นพื้นที่ราบที่อุดมด้วยป่าไม้และทุ่งเกษตรกรรม ให้กลายเป็นโอเอซิสแสนสงบราวกับสวรรค์ …และนี่คือเรื่องราวของรักแรกพบ
ซึ่งมันได้เกิดขึ้นกับ Els Lambrechts และ Ken Joris สามีของเธอ ขณะกำลังขับรถวินเทจของพวกเขาอยู่ในเขตเทศบาลเมือง Meer ใน Antwerp ทั้งคู่ได้สะดุดเข้ากับโรงกลั่นจูนิเปอร์ที่ติดกับโบสถ์โบราณและสวนสวยแสนอัศจรรย์ที่ปล่อยให้พืชพรรณเติบโตอย่างอิสระและเป็นเอกเทศน์ หกปีต่อมา ทั้งสองได้แปลงโฉมพื้นที่ใน Noorderkempen ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของแอนต์เวิร์ป ใกล้กับชายแดนเนเธอร์แลนด์แห่งนี้ ซึ่งเป็นพื้นที่ราบที่อุดมด้วยป่าไม้และทุ่งเกษตรกรรม ให้กลายเป็นโอเอซิสแสนสงบราวกับสวรรค์ …และนี่คือเรื่องราวของรักแรกพบ
“เมื่อเรามาถึงที่นี่เป็นครั้งแรก จะเห็นได้ถึงสัญญาณแห่งกาลเวลา ผนังเต็มไปด้วยเชื้อรา ถึงขนาดที่มีเห็ดงอกออกมาจากผนังโบสถ์ เราช่วยชีวิตบ้านหลังนี้ไม่ให้ถูกลืมเลือน ฉันเป็นนักฝัน ซึ่งสำหรับตัวเองแล้ว เรื่องราวระหว่างการเดินทางนั้นสำคัญพอๆกับผลลัพธ์ ส่วนสามีของฉันนั้นตรงกันข้าม เขาเป็นพวกใจถึงและเป็นงานเป็นการ นี่เป็นส่วนผสมของความฝันกับความกล้า ความคิดและการลงมือทำ ซึ่งเป็นหัวใจในการแปลงโฉมบ้านหลังนี้ให้เป็นอย่างทุกวันนี้ ถ้าเพียงลำพังอย่างใดอย่างหนึ่ง เราคงทำมันไม่สำเร็จ”
เมื่อ Els Lambrechts คุณแม่ลูกสองชาวเบลเยียม ผู้เป็นทั้งช่างภาพและนักลงทุน และเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะอินฟลูเอนเซอร์และคอนเท้นต์ครีเอเตอร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านอินทีเรีย และ Ken Joris สามีของเธอ สะดุดเข้ากับโรงกลั่นจูนิเปอร์ใกล้กับบ้านของพวกเขาในปี 2018 พวกเขาก็ตกหลุมรักกับสวนสวยแห่งนี้ทันที
“มันน่าหลงใหลและมีชีวิตชีวามาก ซึ่งหลังจากได้เห็นเป็นครั้งแรก เราก็ไม่สามารถลืมมันได้เลย” ลอมเบรชท์ กล่าว “ทุกวันนี้ฉันสามารถบอกได้เลยว่าฉันรักสวนนี้หัวปักหัวปำ มันเหมือนกับเทพนิยายของฉัน ฉันมักจะจัดปาร์ตี้กับเพื่อนบ่อยๆ ไม่ก็กินมื้อเที่ยงหรือของว่างกับครอบครัว ฉันมักจะอยู่ในสวนเสมอ ถ้าย้อนกลับไปในตอนนั้น สีเขียวขจีนี้เล่นงานเราอย่างจัง เราเลยกลับไปดูบ้านอีกครั้งและตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะลงทุนกับมัน”
พวกเขาพร้อมด้วยหลุยส์และมาร์เซลลูกชายวัย 15 และ 13 ปีตามลำดับ ตัดสินใจที่จะคืนชีวิตใหม่ให้กับบ้านและที่ดินผืนใหญ่ขนาด 70 เอเคอร์นี้ ซึ่งมันไม่ใช่งานง่าย แต่พวกเขาหลงใหลในไอเดียของการใช้ชีวิตในสวนสวรรค์แห่งนี้ พวกเขาเซ็นโฉนดในปี 2018 และเริ่มงานรีโนเวตในสองปีถัดมา และในปี 2021 โปรเจ็กต์ก็เสร็จสมบูรณ์
“บ้านหลังนี้มีความปรารถนาเป็นของตนเอง มีประวัติศาสตร์ และบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง มันทำให้คุณใช้ชีวิตเหมือนกับเป็นตัวละครเอกของเรื่องในบ้านหลังนี้” เจ้าของบ้านกล่าว
พวกเขาไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับคนสร้างบ้านแรกเริ่ม แต่สำหรับผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมนั้น ทราบมาว่า ในปี 1853 Maximiliaan Van den Bergh นักอุตสากรรมจากแอนต์เวิร์ป ผู้เป็นลูกหลานตระกูลเจ้าของเรืออันมั่งคั่งซื้อฟาร์มของขุนนางขนาด 1,200 เฮกตาร์ ฟาน เดน เบิร์ก เป็นเจ้าของกิจการโรงกลั่นจูนิเปอร์ที่เจริญรุ่งเรืองในแถบ Eilandje (ตำบลหนึ่งในแอนต์เวิร์ป ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเมืองท่าประวัติศาสตร์ และในเรื่องของการฟื้นฟูเมืองในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยการแปรสภาพจากย่านโกดังและท่าเรือมาสู่ย่านที่พักอาศัย ย่านการค้า และแหล่งวัฒนธรรม จนกลายเป็นย่านเทรนดี้ ที่อุดมไปด้วยร้านอาหาร บาร์ และแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว)
ฟาน เดน เบิร์ก ย้ายกิจการไปยัง Hoogstraten เทศบาลในเขต Flanders ที่ขึ้นชื่อในเรื่องทุ่งเกษตรกรรมและทิวทัศน์ชนบท และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นแหล่งกำไรทางเกษตรกรรมและศูนย์รวมเศรษฐกิจ ต้องขอบคุณความสำเร็จทางเศรษฐกิจนี้ ในปี 1863 ฟาน เดน เบิร์ก สร้างบ้านพักหรูหราสองหลังและอาคารอื่นๆรอบๆโรงกลั่น ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ปราสาท Maxburg ซึ่งตั้งชื่อตามเจ้าของ กลายเป็นไฮไล้ต์สำคัญของสถานที่หรูหราแห่งนี้ Constant Van den Bergh ญาติผู้สืบทอดได้เพิ่มเติมโบสถ์และคอกม้าที่อยู่ติดกันเข้าไป ในปี 1887 ในยุค ‘30s โบสถ์และคอกม้าได้ถูกขายต่อให้กับบาทหลวง Albert Naveau ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและสถานอนุบาลขึ้นที่นี่ และยังจัดตั้งแคมป์ฤดูร้อนขึ้นด้วย บริเวณปีกขวายังใช้เป็นบ้านของ Rosa ผู้ช่วยของคุณพ่ออัลเบิร์ตอยู่เป็นเวลาหลายปี ในยุค ‘90s ตัวบ้านได้รับการรีโนเวตจากเจ้าของคนก่อนหน้านี้ และได้รับการดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสมสม่ำเสมอ ปัจจุบันที่ดินได้ถูกแบ่งสรรและมีของเจ้าของหลายราย
“คุณจะรู้สึกได้ถึงความรุ่มรวยที่มีอยู่ทั่วบริเวณ” แลมเบร็ชท์กล่าว อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนภาพฝันให้กลายเป็นความจริงนั้นเป็นอะไรที่ไม่ง่าย และมันคงไม่ใช่การรีโนเวตธรรมดาๆ อย่างแน่นอน
“ระหว่างการรีโนเวต เราพบรอยกระสุนจากสงครามโลกครั้งที่สองบนผนังโบสถ์ และม้วนตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ทำให้ค้นพบว่าที่นี่เป็นที่หลบภัยชั่วคราวหลังสงคราม เจ้าของก่อนหน้านี้คือคู่สามีภรรยาสูงวัย ได้สร้างบ้านแบบคลาสสิกไว้ภายในผนังของโครงสร้างเดิม ซึ่งเต็มไปด้วยห้องและประตูมากมาย” แลมเบร็ชท์กล่าว “ไม่เหลือเค้าของคอกม้าเดิม และตัวโบสถ์ก็อยู่ในสภาพทรุดโทรม”
ทั้งคู่หันไปพึ่ง Vera Suls สถาปนิกแห่งสตูดิโอ Vanhecke and Suls ใน Antwerp ที่ก่อนหน้านี้ได้รีโนเวต ปราสาท Castle d’Ursel และ ศาลากลางเมือง Poperinge
“บ้านหลังนี้ต้องการผู้เชี่ยวชาญมานำทาง ถ้าไม่มีวีร่า เราคงจะจบงานนี้ไม่ได้”
เอลส์และเคนเริ่มงานรีโนเวตด้วยความเคารพในประวัติและสไตล์ดั้งเดิมของบ้าน ซึ่งถือว่าเป็นแลนด์มาร์คสำคัญทางประวัติศาสตร์ ทุกอย่างได้รับการอนุรักษ์อย่างดี ไม่ว่าจะเป็น Via Crucis หรือมรรคาศักดิ์สิทธิ์ พื้นหินอ่อน และแท่นบูชา วัสดุดั้งเดิมเองก็ถูกนำมาใช้ภายในตัวบ้านเพื่อสร้างความต่อเนื่องของพื้นที่
“บ้านหลังนี้ต้องการผู้เชี่ยวชาญมานำทาง ถ้าไม่มีวีร่า เราคงจะจบงานนี้ไม่ได้”
เอลส์และเคนเริ่มงานรีโนเวตด้วยความเคารพในประวัติและสไตล์ดั้งเดิมของบ้าน ซึ่งถือว่าเป็นแลนด์มาร์คสำคัญทางประวัติศาสตร์ ทุกอย่างได้รับการอนุรักษ์อย่างดี ไม่ว่าจะเป็น Via Crucis หรือมรรคาศักดิ์สิทธิ์ พื้นหินอ่อน และแท่นบูชา วัสดุดั้งเดิมเองก็ถูกนำมาใช้ภายในตัวบ้านเพื่อสร้างความต่อเนื่องของพื้นที่
Wild outside, relaxed inside
การตกแต่งภายในของบ้านจัดว่าเป็นสไตล์มินิมัล ให้บรรยากาศแห่งความเงียบสงบ ครัวทำด้วยไม้ลาร์ช ซึ่งเป็นไม้สายพันธุ์เดียวกับที่พบได้ในสวน พื้นคอนกรีตทอดขยายไปยังเทอเรซและเชื่อมต่อภายนอกกับภายในเข้าด้วยกัน ผ้าม่านลินินสีขาวใช้แบ่งพื้นที่ห้องนั่งเล่นและสร้างมุมพักผ่อนแสนสบาย พร้อมด้วย “Togo” โซฟาวินเทจของ Ligne Roset
“การนั่งอยู่บนอาร์มแชร์ ทำให้เราสามารถมองออกไปเห็นสวนโดยตรง ฉันต้องการรักษาความสัมพันธ์กับธรรมชาตินี้ไว้”
สำหรับเฟอร์นิเจอร์ เอลส์เลือกดีไซน์เรียบง่ายสไตล์โมเดิร์น มีของวินเทจกระจายตัวอยู่ทั่วไป เอลส์ดูแลในส่วนของความงาม ในขณะที่เคนรับผิดชอบเรื่องงานเทคนิค พวกเขาเชื่อใจกันแบบไร้ข้อกังขา และด้วยความที่ทั้งคู่ชื่นชอบในวัสดุบริสุทธิ์และออร์แกนิก ผลลัพธ์ที่ได้จึงออกมาน่าทึ่ง ในด้านความงาม การใช้วัสดุที่ไม่หลากหลายจนเกินไปช่วยรักษาความกลมกลืนและเบาสบาย งานดีไซน์ที่คัดสรรมาไม่กี่ชิ้น ซึ่งนอกจากให้ความมินิมัลแล้ว ยังให้ความรู้สึกผ่อนคลาย อย่างที่เจ้าของบ้านอธิบายไว้ว่า “ฉันชอบเวลาที่ไม่รู้ว่าชิ้นไหนมาจากที่ไหน ไม่รู้ว่าใครดีไซน์ บ้านหลังนี้สร้างความรู้สึกเพิกเฉยให้กับคุณ ซึ่งมันตรงกับปรัชญาในการออกแบบของฉัน” แลมเบร็ชท์เล่าต่อ “ฉันไม่ชอบคำว่า ‘ชิค’ ถ้าบางอย่างมัน ‘แวววาว’ เกินไป ฉันจะรู้สึกทันทีว่าต้อง ‘เอากระดาษทรายขัด’ มันหน่อยแล้วล่ะ” มันให้ความรู้สึกถึงความจริงที่ไม่มีวันสมบูรณ์แบบ ความสมบูรณ์แบบมันเหนื่อยและไม่มีอยู่จริง ซึ่งอาจจะตรงกันข้ามกับที่หลายๆคนคิด เพราะเราไม่ได้อาศัยอยู่ในพิพิธภัณฑ์หรือแกลเลอรี่ เหนือสิ่งอื่นใด มันยังต้องเป็นบ้านอยู่”
สำหรับเฟอร์นิเจอร์ เอลส์เลือกดีไซน์เรียบง่ายสไตล์โมเดิร์น มีของวินเทจกระจายตัวอยู่ทั่วไป เอลส์ดูแลในส่วนของความงาม ในขณะที่เคนรับผิดชอบเรื่องงานเทคนิค พวกเขาเชื่อใจกันแบบไร้ข้อกังขา และด้วยความที่ทั้งคู่ชื่นชอบในวัสดุบริสุทธิ์และออร์แกนิก ผลลัพธ์ที่ได้จึงออกมาน่าทึ่ง ในด้านความงาม การใช้วัสดุที่ไม่หลากหลายจนเกินไปช่วยรักษาความกลมกลืนและเบาสบาย งานดีไซน์ที่คัดสรรมาไม่กี่ชิ้น ซึ่งนอกจากให้ความมินิมัลแล้ว ยังให้ความรู้สึกผ่อนคลาย อย่างที่เจ้าของบ้านอธิบายไว้ว่า “ฉันชอบเวลาที่ไม่รู้ว่าชิ้นไหนมาจากที่ไหน ไม่รู้ว่าใครดีไซน์ บ้านหลังนี้สร้างความรู้สึกเพิกเฉยให้กับคุณ ซึ่งมันตรงกับปรัชญาในการออกแบบของฉัน” แลมเบร็ชท์เล่าต่อ “ฉันไม่ชอบคำว่า ‘ชิค’ ถ้าบางอย่างมัน ‘แวววาว’ เกินไป ฉันจะรู้สึกทันทีว่าต้อง ‘เอากระดาษทรายขัด’ มันหน่อยแล้วล่ะ” มันให้ความรู้สึกถึงความจริงที่ไม่มีวันสมบูรณ์แบบ ความสมบูรณ์แบบมันเหนื่อยและไม่มีอยู่จริง ซึ่งอาจจะตรงกันข้ามกับที่หลายๆคนคิด เพราะเราไม่ได้อาศัยอยู่ในพิพิธภัณฑ์หรือแกลเลอรี่ เหนือสิ่งอื่นใด มันยังต้องเป็นบ้านอยู่”
A home for all seasons
เมื่อมองลอดโค้งช่องหน้าต่างไม้ออกไปยังส่วนที่เคยเป็นคอกม้า จะพบกับเนินสวนที่ถือเป็นหัวใจของบ้าน “ในตอนที่เรามาถึงที่นี่ครั้งแรก สวนมันรกมากจนเราไม่สามารถเดินเท้าเปล่าในนั้นได้ ซึ่งถ้ามันขึ้นอยู่กับฉันคนเดียว ฉันคงจะไม่เปลี่ยนอะไรเลย แต่เรารู้แหละว่า การซ่อมบำรุงมันจำเป็น แต่ทีแรกนั้น ฉันคิดว่าเสน่ห์แบบขบถนี่ไม่สมควรที่จะถูกขัดเกลาเลยด้วยซ้ำ
สำหรับการออกแบบสวน เอลส์และเคนไม่ได้ปรึกษาภูมิสถาปนิก แต่ทำงานกับคนทำสวน Kris Van Looveren ผลลัพธ์คือส่วนผสมระหว่างทุ่งหญ้าและดอกไม้ที่เต็มไปด้วยพืชพรรณที่เติบโตราวกับผืนป่าบริสุทธิ์ สระน้ำคดเคี้ยวถูกเก็บไว้แต่จัดให้มีทางเดินสำหรับไปตกปลา มีฝักบัวกลางแแจ้งและอ่างจากุชชี่ท่ามกลางกลุ่มสนอายุร่วมศตวรรษ “ถือเป็นการประนีประนอมระหว่างสิ่งที่เราเป็นกับสิ่งที่สวนอยากให้เป็น”
ทุกวันนี้ สวนคือธีมเอกสำหรับเอลส์และครอบครัว “ฉันแอบสงสัยอยู่บ่อยๆว่า บ้านหลังนี้เป็นบ้านฤดูร้อนหรือฤดูหนาวกันแน่ ท้ายที่สุด ฉันก็ตัดสินใจให้มันเป็นบ้านสำหรับทุกฤดูกาล บ้านนี้มีชีวิตอยู่กับธรรมชาติเหมือนกับเราที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชีวิตก่อนหน้านี้ฉันเป็นคนเมือง แต่เดี๋ยวนี้ฉันและลูกชายไม่สามารถแยกออกจากสวนได้เลย มันมีชีวิตอยู่กับเรา, ภายในตัวเรา เราผ่อนคลาย ปลดปล่อย และขาร์จพลังงานใหม่ในขณะเดียวกัน บ้านหลังนี้คือการนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงอย่างแรงกล้า บางครั้งฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเราจะตื่นขึ้นมาในที่แบบนี้ได้ทุกๆวัน”
Story: Benedetta Rossi Albini
Photos: Mr. Frank / Living Inside
Translate: Wachirapanee Markdee