Photo: dada design (Unsplash.com)

Photo: dada design (Unsplash.com)

Editor's Letter

The Kids Are Alright

Whitney Houston เคยบอกว่า
“I believe the children are our future
Teach them well and let them lead the way
Show them all the beauty they possess inside
Give them a sense of pride to make it easier
Let the children’s laughter remind us how we used to be”

จริงๆ แล้ววิทนี่ย์ไม่ใช่คนแรกที่พูดประโยคเหล่านี้ เพราะข้อความจากเนื้อเพลง The Greatest Love Of All เพลงฮิตปี 1986 เพลงนี้ เป็นคัฟเวอร์เวอร์ชั่นของ George Benson ที่ออกมาก่อนหน้านั้นอีกที เนื้อเพลงที่ว่าด้วยการเรียนรู้ที่จะรักตัวเองและเติบโตอย่างแข็งแรงนั้นจะว่าจับและกินใจมากเมื่อได้ฟังครั้งแรกตอนเป็นเด็กก็ใช่ แต่พอโตมาหน่อยก็รู้สึกว่าค่อนข้าง cliché โดยเฉพาะประโยคเริ่มต้นที่ว่า “ฉันเชื่อว่าเด็กทั้งหลายคืออนาคตของพวกเรา สอนเขาให้ดีเพื่อให้เติบใหญ่ขึ้นมาเป็นผู้นำ” เราได้ยินอะไรแบบนี้น่าจะเกือบแปดล้านครั้งได้ เนื้อเพลงหวานเชยแบบนี้ก็เลยดูจะเอ้าท์ๆ หน่อยในยุคหลัง

จนเมื่อไม่นานมานี้ผมกลับมาตั้งใจฟังเนื้อเพลงนี้อีกครั้ง แล้วสะดุดกับประโยคสุดท้ายในเนื้อเพลงข้างบนที่บอกว่า “ให้เสียงหัวเราะของเด็กๆ ย้ำตือนว่าเราเคยเป็นอย่างไรในอดีต” ครั้งนี้ประโยคนี้มันกระแทกใจเป็นพิเศษ เพราะเมื่อถึงวัยหนึ่งที่เราเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนนับฤดูกาลไม่ไหว ประสบการณ์ในการใช้ชีวิตที่ต้องผ่านอุปสรรคและความยากลำบากทำให้เรากลายเป็นเราในทุกวันนี้ ซึ่งอาจจะไม่ได้ใกล้เคียงกับตัวเราในวัยเด็ก บางครั้งที่เราอาจจะกลายเป็นคนใจร้ายในสายตาคนอื่น และบ่อยครั้งที่เราก็ใจร้ายแม้แต่กับตัวเอง ทำให้เกิดคำถามในใจว่า เรากลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ? ทำไมชีวิตในแต่ละวันมันเหนื่อยจัง เมื่อก่อนตอนเป็นเด็กไม่เห็นจะเหนื่อยขนาดนี้ เราไม่ต้องคิดอะไรมาก เรามีความสุขเล็กๆ ได้ง่ายๆ กับแค่การปั้นดินน้ำมัน (แต่เด็กในยุคนี้อาจจะมีความสุขกับการเล่นเกมมือถือ) โลกของผู้ใหญ่มันช่างโหดร้าย ทำให้อยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งจัง

เมื่อเดือนที่แล้วที่ผมได้ไปอยู่ที่สมุยเพื่อทำ QoQoon ฉบับ Samui We Love ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าบ้านอย่างคุณแอ้ มทินา สุขะหุต ที่ทำบ้านพักสำหรับโครงการศิลปินที่พำนัก (Artist In Residence) เพื่อสนับสนุนศิลปินที่มาร่วมสร้างสรรค์และแลกเปลี่ยนผลงานสำหรับ Mulamati หรือหมู่บ้านสายรุ้งที่เป็นหมู่บ้านเด็กเจ็ดสีที่ต่อเติมมาจากจินตนาการของเธอ เธอได้พูดคุยกันถึงที่มาที่ไปของโปรเจ็กต์สถานที่สร้างสรรค์แห่งนี้ว่า เพราะเธอคิดว่าสิ่งที่เธอทำได้ดีที่สุดคือการจินตนาการ เธอจึงอยากจะแบ่งปันจินตนาการให้กับทั้งเด็กและผู้ใหญ่หัวใจเด็กทั้งหลาย ทำให้ผมนึกถึงเนื้อเพลง The Greatest Love Of All ท่อนที่ว่า ซึ่งบางทีผู้ใหญ่ก็ไม่ได้เป็นผู้ให้ฝ่ายเดียวเสมอไป รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กๆ เองก็เป็นสิ่งกระตุ้นเตือนว่า เราไม่ควรละทิ้งความสุข ความสดใสที่เรามี ช่วยปลุกจินตนาการและความเป็นเด็กในตัวเราให้มีพลังขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ส่งต่อให้กับคนอื่น

เช่นเดียวกับบุคคลในสายงานออกแบบที่เรานำเสนอในฉบับนี้ ที่ต่างก็เป็นผู้ใหญ่หัวใจเด็กไม่ว่าจะเป็น คู่สถาปนิกคุณพ่อคุณแม่เจ้าของเพจ “พากันเล่น” ที่สร้างสรรค์กิจกรรมพาเด็กๆ เล่นและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน, แฟชั่นดีไซเนอร์ผู้หันมาทำงานออกแบบเพื่อเด็กๆ และเขียนหนังสือเด็กร่วมกับลูกๆของเธอ หรือคุณญารินดา บุนนาค ที่หลายคนรู้จักเธอในฐานะนักร้องนักแสดง แต่เธอก็ยังมีอีกหลายบทบาทไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ หรือสถาปนิกที่หันมาออกแบบสนามเด็กเล่น รวมไปถึงนักคิด นักเขียนทุกคนที่มีส่วนในการนำเสนอ QoQoon ฉบับ Design for Kids’ Community ฉบับนี้ ทุกคนคือหนึ่งในผู้ใหญ่ใจดีที่มีส่วนในการสร้างสรรค์งานออกแบบเพื่อเด็กๆ ด้วยความตั้งใจอันดีในการที่จะส่งมอบประสบการณ์การเรียนรู้อันมีค่าเพื่อให้เขาได้เติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ

ครั้งหนึ่งผมเคยได้มีโอกาสทำงานร่วมกับศิลปินนักแสดงรุ่นใหญ่ของเมืองไทยท่านหนึ่ง นั่นคือ พี่ต่าย เพ็ญพักตร์ ศิริกุล ผู้หญิงที่ผมคิดว่าเท่มากที่สุดคนหนึ่ง เอาจริงๆ ตั้งแต่จำความได้ ผมก็ได้ยินชื่อนี้แล้ว และชื่อนี้ก็ไม่เคยห่างหายไปจากวงการบันเทิงไทยเลย ผ่านไปกี่สิบปีผมก็ยังเห็นพี่ต่ายสวยและเท่มาตลอด จนเมื่อครั้งที่ได้ทำงานร่วมกันครั้งนั้น เรานั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกัน มีอยู่หนึ่งในบทสนทนาที่เราคุยกันเรื่อง “เด็กสมัยนี้” ตามประสา “ผู้ใหญ่สมัยก่อน” ผมแสดงความเห็นกึ่งบ่นถึงคนรุ่นใหม่ว่าออกจะดูก้าวร้าว แก่นเซี้ยว ไม่ค่อยมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมเท่าที่ควร (ในความเห็นของตัวเองขณะนั้น) พร้อมแสดงความเป็นห่วงว่า ถ้าประชากรส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ แล้วต่อไปในอนาคต สังคมจะเป็นอย่างไร? พี่ต่ายยิ้ม และตอบผมมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ไม่ต้องห่วงเขาหรอกค่ะ ไม่ว่าจะยังไง เขาจะพาให้เจนเนอเรชั่นของเขาผ่านยุคสมัยไปได้ เชื่อพี่” คำพูดของพี่ต่ายในวันนั้นช่วยให้ผมได้ฉุกคิดขึ้นมาว่า เออ…แล้วเราเป็นใคร ทำไมถึงจะไปกะเกณฑ์ว่าอนาคตของพวกเขามันจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราเองก็เคยเป็นเด็ก เคยดื้อ เคยห่าม ทำอะไรที่ผู้ใหญ่ในตอนนั้นเห็นว่าไม่ถูกไม่ควรก็ไม่น้อย เราก็ยังอยู่รอดจนโตมาเป็นผู้ใหญ่ในทุกวันนี้ได้ หน้าที่เราคือใช้ประสบการณ์ของเราอบรม สั่งสอน “ชี้แนะ” แต่ไม่จำเป็นต้อง “ชี้นำ” ส่วนหน้าที่ในการตัดสินใจเป็นของพวกเขา แล้วพวกเขาจะนำพาเจนเนอเรชั่นของเขาให้ผ่านพ้นไปได้อย่างที่พี่ต่ายว่า

“Teach them well and let them lead the way”
…เชื่อเถอะครับว่าเด็กๆ เขาอยู่กันได้

Wachirapanee Whisky Markdee
Editor In Chief

Share