Editor's Letter
New QoQooN
เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมนั่งถกกับเพื่อนถึงเรื่องความต้องการในแง่ที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในยุคปัจจุบันว่า เรายังมีความจำเป็นที่จะซื้อบ้าน คอนโดมิเนียม หรืออสังหาฯใดๆ ไว้ครอบครองเป็นสมบัติส่วนตัวกันอยู่อีกหรือไม่
คนรุ่นเบบี้บูมนั้น ต่างปลูกฝังแนวความคิดที่ว่า ที่อยู่อาศัยคือหนึ่งในปัจจัยสี่ที่เป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ และการได้ครอบครองพื้นที่อาศัยถือเป็นความมั่นคงในชีวิต เป็นเครื่องการันตีว่าเรามีหลังคาคุ้มศีรษะไม่ว่าจะในวันฝนตกหรือแดดจ้า รวมถึงแปลงเป็นสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจของตัวเอง และแนวคิดนี้ก็ได้ถูกถ่ายทอดมาสู่ผู้คนในเจนเนอเรชั่นเอ็กซ์ ทำให้เราต้องขนขวายเพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งสิทธิในการถือครองที่คุ้มศีรษะที่ว่า
แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ทั้งในแง่การเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้างทางสังคม และรูปแบบการใช้ชีวิตใหม่ๆ คนในยุคหลังๆ ไม่ว่าจะเป็นเจนวาย เจนแซด หรือมิลเลนเนียลหลายคน เริ่มที่จะคิดว่าการมีบ้านเป็นของตัวเองไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นอีกต่อไป พวกเขามีความสุขกับการได้ออกไปเดินทางหาประสบการณ์ของการใช้ชีวิตต่างรูปแบบภายนอก บ้านจึงกลายเป็นเหมือนที่พักชาร์จพลังชั่วคราวก่อนการเดินทางครั้งต่อไป จึงไม่จำเป็นต้องหาซื้อบ้านหรือที่อยู่อาศัยถาวรอีกต่อไป จากสินทรัพย์และความมั่นคงในชีวิต บ้าน (ที่เป็นสถานที่) ก็อาจจะกลายเป็นภาระสำหรับบางคนก็เป็นได้
ผมได้ข้อสรุปและแนะนำเพื่อนไปว่า สุดท้ายแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิตของเราแต่ละคนว่าอะไรตอบโจทย์ของเราที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงต้องการพื้นที่ที่เรียกว่า “บ้าน” ในชีวิตของเราทุกคน ไม่ว่าบ้านนั้นจะมาในรูปแบบใด เพราะบ้านจริงๆนั้นคือพื้นที่ที่เรารู้สึกปลอดภัย ไม่ใช่เพียงแค่เสา พื้น ผนัง หลังคา แต่คือทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิตเราที่จะเติมลงไปในบ้าน ไม่ว่าบ้านนั้นเราจะถือสิทธิ์ครอบครองเบ็ดเสร็จหรือแค่เช่าสิทธิ์ในการอยู่อาศัยจากใครเขามา และบ้านนี้จะตามติดตัวเราไปไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ดังนั้นการสร้างบรรยากาศของความเป็นบ้านจึงสำคัญมากกว่าการได้ครอบครองอิฐหินปูนทราย บรรยากาศที่อบอุ่นของบ้านก็เหมือนรังไหมที่ห่อหุ้มคุ้มภัย ให้ความอบอุ่นฟูมฟักดักแด้ข้างในที่พร้อมจะกลายร่างและโบยบินออกไปสู่การเดินทางในฤดูกาลใหม่
Wachirapanee Whisky Markdee
Editor In Chief