From Trash to Treasure
ในบทความ The Future Materials ของ QoQoon เราเคยนำเสนอไปแล้วว่า หลายปีมานี้ นักออกแบบพยายามหาความเป็นไปได้ของวัสดุใหม่ๆ มาใช้ในงานออกแบบ ด้วยเหตุผลหลักคือ วัสดุเดิมที่พวกเขาใช้อยู่ อย่างพลาสติกและเครื่องหนัง มีกระบวนการผลิตที่ทำร้ายสิ่งแวดล้อมอย่างมาก รวมทั้งเมื่อสิ้นสุดอายุการใช้งานก็ไม่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติหรือรีไซเคิลได้
หนึ่งวัสดุทางเลือกที่นักออกแบบหลายคนหันไปหา คือ ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือ เช่น ก้อนฟาง เกลือ และสาหร่าย ซึ่งนอกจากการใช้วัสดุธรรมชาติดังกล่าวจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตแล้ว สิ่งก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากวัสดุเหล่านี้ก็ยังสามารถนำไปทำลายได้โดยการย่อยสลายตามวิธีธรรมชาติอีกด้วย จึงนับว่าเป็นการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้เกือบทั้งกระบวนการ
แต่นอกจากวัสดุธรรมชาติที่มีอย่างเหลือเฟือแล้ว ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งในการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นที่นิยมไม่แพ้กัน นั่นคือ การนำ “ขยะ” มารีไซเคิลหรืออัพไซเคิลให้กลายเป็นวัสดุสำหรับผลิตเฟอร์นิเจอร์และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ โดยทางเลือกนี้นับว่ามีข้อดีแตกต่างจากการใช้วัสดุธรรมชาติตรงที่ ถือเป็นการช่วยลดปริมาณขยะ ทั้งขยะจากอุตสาหกรรมอาหารที่มักไปสิ้นสุดที่หลุมฝังกลบ (landfill) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักหนึ่งของการเกิดก๊าซเรือนกระจก และขยะพลาสติกที่นับวันจะยิ่งล้นโลกและก่อให้เกิดการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกลงในธรรมชาติ
ปัจจุบัน แบรนด์สินค้าออกแบบหลายต่อหลายแบรนด์ ทั้งแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่ ทั้งไทยและเทศ หันมาเลือกใช้ “ขยะ” เหล่านี้เป็นวัสดุในงานออกแบบของพวกเขา ซึ่งเมื่อผสมผสานกับฝีมือการออกแบบ เทคโนโลยี และมาตรฐานการผลิตชั้นเยี่ยม เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจาก “ขยะ” ก็กลับกลายเป็นงานออกแบบชิ้นสวยไม่แพ้วัสดุเดิมๆ ที่เราคุ้นเคยกัน
แต่นอกจากวัสดุธรรมชาติที่มีอย่างเหลือเฟือแล้ว ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งในการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นที่นิยมไม่แพ้กัน นั่นคือ การนำ “ขยะ” มารีไซเคิลหรืออัพไซเคิลให้กลายเป็นวัสดุสำหรับผลิตเฟอร์นิเจอร์และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ โดยทางเลือกนี้นับว่ามีข้อดีแตกต่างจากการใช้วัสดุธรรมชาติตรงที่ ถือเป็นการช่วยลดปริมาณขยะ ทั้งขยะจากอุตสาหกรรมอาหารที่มักไปสิ้นสุดที่หลุมฝังกลบ (landfill) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักหนึ่งของการเกิดก๊าซเรือนกระจก และขยะพลาสติกที่นับวันจะยิ่งล้นโลกและก่อให้เกิดการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกลงในธรรมชาติ
ปัจจุบัน แบรนด์สินค้าออกแบบหลายต่อหลายแบรนด์ ทั้งแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่ ทั้งไทยและเทศ หันมาเลือกใช้ “ขยะ” เหล่านี้เป็นวัสดุในงานออกแบบของพวกเขา ซึ่งเมื่อผสมผสานกับฝีมือการออกแบบ เทคโนโลยี และมาตรฐานการผลิตชั้นเยี่ยม เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจาก “ขยะ” ก็กลับกลายเป็นงานออกแบบชิ้นสวยไม่แพ้วัสดุเดิมๆ ที่เราคุ้นเคยกัน
เฟอร์นิเจอร์จากขยะอาหารของนักออกแบบรุ่นใหม่ และเก้าอี้ Eames ของ Vitra เวอร์ชันทำจากพลาสติกรีไซเคิล
ปัจจุบัน ขยะอาหารหลายประเภท เช่น ใบสับปะรด เปลือกส้ม เปลือกหอย กากกาแฟ แกนกลางและเปลือกแอปเปิ้ล เปลือกไข่ ฯลฯ ถูกนำมาผลิตเป็นวัสดุทางเลือกที่ใช้ในงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน วัสดุทางเลือกบางประเภทมีรูปลักษณ์ไม่ต่างจากเครื่องหนัง แต่เพราะทำจากขยะอาหารที่ส่วนมากเป็นพืช จึงถูกเรียกว่า เครื่องหนังจากพืช หรือ เครื่องหนังวีแกน (vegan leather) โดยนอกจากวัสดุทางเลือกเหล่านี้จะช่วยลดปริมาณขยะอาหาร (food waste) แล้ว ก็ยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้มากกว่าเครื่องหนังจากสัตว์ที่มีกระบวนการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเป็นจำนวนมาก และในขั้นตอนการฟอกหนังก็ยังใช้สารเคมีอันตรายที่สุ่มเสี่ยงต่อการปนเปื้อนลงแหล่งน้ำตามธรรมชาติอีกด้วย
หลายปีที่ผ่านมา เราจะเห็นว่านักออกแบบรุ่นใหม่หลายรายให้ความสนใจกับวัสดุทางเลือกที่ทำจากขยะอาหารเหล่านี้มาก และเฟอร์นิเจอร์ของพวกเขาที่ผลิตโดยวัสดุเหล่านี้ก็ทำออกมาได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น Carolina Härdh และ Emeli Höcks จากสวีเดนที่ทดลองนำเปลือกหอยนางรมมาพัฒนาเป็นวัสดุสำหรับม้านั่งยาวสีขาวที่มี texture สวย นั่นคือ Besitt (2020) และ Mari Koppanen นักออกแบบจากฟินแลนด์ที่นำเอาพวกเห็ดรา (fungi) และสารคล้ายฟองน้ำที่ทำจากเชื้อรา (amadou) มาใช้เป็นวัสดุส่วนหนึ่งสำหรับม้านั่งยาว FOMES (2021) และโคมไฟ TRAPETSI (2024) โดยผลงานทั้งสองชิ้นมีรูปทรงกลมมนน่ารักน่าชังคล้ายเห็ด
หรือถ้าจะย้อนเวลาไปไกลกว่านั้นอีกและหันไปดูที่นักออกแบบรุ่นใหญ่ขึ้นมาสักหน่อย เมื่อปี 2019 Philippe Starck ก็เลือกใช้วัสดุแทนเครื่องหนัง ชื่อว่า Apple Ten Lork มาใช้เป็นวัสดุหุ้มสำหรับเฟอร์นิเจอร์ของ Cassina ที่เขาออกแบบให้ทั้งคอลเล็กชัน โดย Apple Ten Lork นั้น ทำมาจากแกนกลางและเปลือกแอปเปิ้ลที่เหลือจากอุตสาหกรรมการผลิตน้ำแอปเปิ้ล ผลงานการพัฒนาของบริษัทจากอิตาลี Frumat
นอกจากขยะอาหารแล้ว หลายแบรนด์ก็หันมาให้ความสนใจกับวัสดุที่ทำมาจากขยะพลาสติกรีไซเคิล ไม่เว้นแม้แต่แบรนด์ผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Vitra ที่เริ่มเปลี่ยนจากการใช้พลาสติกที่ผลิตขึ้นใหม่ (virgin plastic) ในเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านของพวกเขา มาเป็นการใช้พลาสติกรีไซเคิลตั้งแต่ปี 2020 โดยพวกเขาเริ่มต้นเส้นทางสายกรีนนี้จาก เก้าอี้ Tip Ton Chair โดย Edward Barber & Jau Osgerby เป็นอันดับแรก ตามมาด้วย HAL Chai โดย Jasper Morrison และของแต่งบ้านอีกหลายชิ้น แต่เฟอร์นิเจอร์ที่น่าจะฮือฮาที่สุดก็คือ The Lounge Chair by Charles and Ray Eames
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เก้าอี้ระดับไอคอนชิ้นนี้ที่ผลิตโดย Vitra จะใช้วัสดุหุ้มภายนอกที่ทำขึ้นเป็นพิเศษจากพลาสติกรีไซเคิล โดยพลาสติกรีไซเคิลดังกล่าวนำมาจากขยะพลาสติกครัวเรือนที่ทางโครงการ Gelber Sack ในเยอรมนีเป็นคนจัดเก็บและรวบรวม Vitra ย้ำว่าพลาสติกรีไซเคิลที่ใช้เป็นพลาสติกรีไซเคิล 100% ที่ไม่มีพลาสติกที่ผลิตขึ้นใหม่ปะปนเลย และเมื่อเฟอร์นิเจอร์หมดอายุการใช้งานก็สามารถนำวัสดุหุ้มไปรีไซเคิลต่อได้อีก เพราะพลาสติกเหล่านี้ใช้สารเติมแต่งที่ทำให้สามารถรีไซเคิลได้
การเลือกเอาเฟอร์นิเจอร์ชิ้นสำคัญๆ ของแบรนด์มาเปลี่ยนเป็นวัสดุที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิลของ Vitra นั้นมีเหตุผลที่น่าสนใจรองรับ โดย Nora Fehlbaum ที่นั่งแท่น CEO ของ Vitra บอกว่า พวกเขาเชื่อว่าการโฟกัสกับเฟอร์นิเจอร์ที่ขายดีอยู่แล้วสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าและกว้างกว่าการไปเลือกปั้นโปรดักต์ชิ้นใหม่ แต่แน่นอนว่าแบรนด์ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงด้วย เพราะลูกค้าบางรายอาจไม่ชอบวัสดุหุ้มทำจากพลาสติกรีไซเคิลที่พื้นผิวจะเห็นเป็น texture จุดๆ ไม่เรียบเนียนเหมือนพลาสติกที่ผลิตขึ้นใหม่ แต่พวกเขาก็หวังว่าลูกค้าจะเข้าใจความสำคัญของเรื่องสิ่งแวดล้อม และอาจมองว่า texture ดังกล่าวเป็นสุนทรียะแบบใหม่ก็เป็นได้
จาก OSISU แบรนด์ผู้บุกเบิกเรื่อง “กรีน” สู่แบรนด์น้องใหม่ที่น่าจับตา
สำหรับแวดวงงานออกแบบในบ้านเรานั้น แม้ว่าแนวทางเรื่องรักษ์โลกจะยังไม่กว้างขวางเท่าในต่างประเทศ แต่เราก็มีแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่บุกเบิกเรื่องกรีนมาตั้งแต่สมัยที่เรื่องสิ่งแวดล้อมยังไม่เป็นที่ตระหนักแพร่หลายอย่างทุกวันนี้เสียอีก นั่นคือ OSISU ที่เริ่มนำเอาขยะเหลือใช้ อย่าง เศษเหล็กจากโรงงานอุตสาหกรรม และขยะอาหาร เช่น กากกาแฟ เปลือกไข่ เศษข้าวบาร์เลย์ มาอัพไซเคิลเป็นวัสดุใหม่สำหรับงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ โดยพวกเขาเริ่มทำงานในแนวทางนี้มาตั้งแต่ปี 2006
นอกจากนั้น หนึ่งในผู้ก่อตั้งของ OSISU คือ รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต ยังมีบทบาทสำคัญอยู่ที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม (SCRAP LAB) และศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) ซึ่งช่วยผลักดันให้นักออกแบบและแบรนด์รุ่นน้องได้เข้ามาทำงานขยะเหลือใช้ นำไปอัพไซเคิลเป็นวัสดุสำหรับงานออกแบบ
SONITE Innovative Surfaces เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ว่านั้น โดย SONITE แตกไลน์ธุรกิจมาจากบริษัทที่ทำเกี่ยวกับอุตสาหกรรมสิ่งทอ ผลิตสินค้าสำหรับงานเย็บปักถักร้อย เช่น ด้าย กระดุม ซิป ฯลฯ และเมื่อพวกเขาได้รับคำแนะนำจากอาจารย์สิงห์เกี่ยวกับการนำเอาขยะเหลือใช้ที่รีไซเคิลไม่ได้ ย่อยสลายเองก็ไม่ได้ อย่าง กระดุมพลาสติก ไปอัพไซเคิลเป็นหินสังเคราะห์สำหรับใช้ในงานออกแบบก่อสร้าง ความสนใจเกี่ยวกับวัสดุอัพไซเคิลก็เริ่มต้นขึ้น
ปัจจุบัน SONITE สร้างสรรค์งานออกแบบเฟอร์นิเจอร์และข้าวของเครื่องใช้หลายชิ้นที่ถึงจะทำจากวัสดุเหลือใช้ แต่ก็สามารถยืนอยู่ในตลาดระดับไฮเเอนด์ได้ไม่ยาก โดยขยะเหลือใช้ที่พวกเขานำมาใช้ เช่น แกลบ (Husk) ที่อัพไซเคิลออกมาเป็นวัสดุที่ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน แถมยังมีสีและลวดลายแบบธรรมชาติที่สวยงาม อย่างที่เราเห็นกันได้ในชิ้นงานที่เป็นโต๊ะข้าง Baobab Side Table I Husk และเครื่องใช้ในครัว Bento Box/Bowl/Plate โดยการนำเอาแกลบมาใช้เป็นวัสดุนั้น นอกจากจะเป็นการประหยัดทรัพยากร ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ในกระบวนการผลิตแล้ว ก็ยังเป็นการช่วยลดมลพิษทางอากาศได้ไปในตัว เพราะปกติแล้ว แกลบที่เหลือเป็นจำนวนมากจากกระบวนการสีข้าว มักถูกนำไปกำจัดด้วยการเผา
นอกจากแกลบแล้ว วัสดุที่ SONITE นำมาอัพไซเคิลก็ยังมี เส้นใยมะพร้าว พลาสติก และธนบัตรเก่าชำรุด (ที่นำไปทำลายได้ยาก) ซึ่งไม่ใช่แค่วัสดุเหล่านี้จะกลายมาเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่มี texture ที่สวยงามเท่านั้น แต่สีที่พวกเขาเลือกใช้ก็ยังละมุนละไม ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติและแสดงให้เห็นถึงที่มาที่ไปของวัสดุได้อย่างดี
WISHULADA ศิลปะจากขยะสร้างความตระหนักรู้
ถ้าพูดถึงเรื่องการนำเอาขยะมาสร้างสรรค์เป็นงานศิลปะและออกแบบ WISHULADA น่าจะเป็นอีกชื่อหนึ่งที่หลายคนนึกถึง เพราะหลายปีที่ผ่านมานี้ วิชชุลดา ปัณฑรานุวงศ์ ทำงานจากขยะและข้าวของเหลือใช้มาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ขยะพลาสติก กระป๋องน้ำอัดลม ฝาจีบ ตุ๊กตาเก่า เสื้อผ้าเก่า ฯลฯ โดยผลงานของเธอนั้น แม้จะไม่ใช่เฟอร์นิเจอร์หรือของแต่งบ้านเหมือนแบรนด์อื่นๆ ที่เรากล่าวไปข้างต้น แต่โปรเจ็กต์หลายชิ้นที่เป็น window display หรือศิลปะสำหรับตกแต่งในร้านค้า ห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่ต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่เรามองว่าน่าสนใจมากในการช่วยลดการใช้วัสดุใหม่และนำเอาขยะเหลือใช้กลับมาต่ออายุอีกครั้งเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะว่าปกติแล้ว งานออกแบบจำพวก window display มักมีอายุการใช้งานไม่มาก ดังนั้นการทำงานระหว่าง WISHULADA และแบรนด์ต่างๆ เช่น Kiehl’s, SCG, Club21 และห้าง ICON SIAM ที่เธอเป็นคนทำต้นคริสต์มาสปี 2023 จากขยะ ของเล่น และตุ๊กตาเก่าเหลือใช้ จึงน่าจะพอนับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของแนวทางการออกแบบดิสเพลย์ในบ้านเราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
นอกจากนั้น ผลงานแต่ละชิ้นของ WISHULADA ยังใช้ขยะเป็นจำนวนมาก และสไตล์ผลงานที่ออกมาก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าประกอบไปด้วยขยะชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากมายมหาศาล หลากชนิด และหลากสีสันแค่ไหน เช่น ‘A-waiting Materials’ (2020) ที่เธอนำเอาขยะหลากสีสันมาตกแต่งทั่วทั้งห้องพักของโรงแรม The Peninsula Bangkok และ ‘Overflow’ ที่โถงบันไดทั้งสามชั้นของมิวเซียมสยามถูกถมเต็มไปด้วยกองเสื้อผ้าเก่าที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้แล้ว และมักต้องไปจบชีวิตที่หลุมฝังกลบ
นอกจากนั้น ผลงานแต่ละชิ้นของ WISHULADA ยังใช้ขยะเป็นจำนวนมาก และสไตล์ผลงานที่ออกมาก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าประกอบไปด้วยขยะชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากมายมหาศาล หลากชนิด และหลากสีสันแค่ไหน เช่น ‘A-waiting Materials’ (2020) ที่เธอนำเอาขยะหลากสีสันมาตกแต่งทั่วทั้งห้องพักของโรงแรม The Peninsula Bangkok และ ‘Overflow’ ที่โถงบันไดทั้งสามชั้นของมิวเซียมสยามถูกถมเต็มไปด้วยกองเสื้อผ้าเก่าที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้แล้ว และมักต้องไปจบชีวิตที่หลุมฝังกลบ
จากสไตล์ผลงานนี้เอง เราจึงคิดว่านอกจากผลงานของ WISHULADA จะใช้ประโยชน์ในงานออกแบบตกแต่งแล้ว ในเวลาเดียวกัน ผลงานเหล่านี้ก็น่าจะเป็นหลักฐานชั้นดีที่ทำให้เราเห็นว่า จริงๆ แล้ว โลกของเรากำลังเต็มไปด้วยขยะมากมายแค่ไหน และน่าจะถึงเวลาสักทีแล้วที่พวกเราต้องลุกขึ้นมาทำอะไรกันสักอย่างเพื่อไม่ให้ขยะล้นโลกไปมากกว่านี้
Story: Tunyaporn Hongtong
อ้างอิง:
dezeen.com
iconeye.com
marikoppanen.com
sonitesurfaces.com
urbancreature.co
wishulada-art.com
When it comes time to plan the construction or renovation of a new home, most people think of consulting architects and interior designers for advice and to shape their ideas into a dream home. However, there are also many who first think of feng shui masters to ensure that their living space is believed to bring good luck, prosperity, and success in all aspects of life.
In fact, the underlying principles of architecture and feng shui share approximately 60-70% similarity, differing primarily in their language. Both disciplines, when applied to residential spaces, emphasize fundamental principles of comfort. Architecture focuses on balancing the flow of various energies such as sunlight, wind, and rain, as well as external elements like traffic, which impact daily living and functionality. Feng shui, on the other hand, primarily concerns the circulation of earth, water, wind, and fire energies to facilitate the flow of natural “chi” or energy. This energy, derived from the environment, directly influences the lives of occupants, mirroring the principles of architecture. However, feng shui incorporates additional guidelines and beliefs related to auspiciousness and traditional customs. These specific beliefs and contexts often lead to misconceptions, with many dismissing feng shui as superstition or attempting to scientifically validate ancient principles. While it’s natural to seek scientific explanations, it’s important to recognize that these beliefs, like many traditional customs, are often rooted in practical observations about nature, climate, and design. The underlying goal of both disciplines is to create balanced spaces that positively impact both the physical and psychological well-being of occupants.
Bridging Ancient Wisdom and Modern Design
Feng shui, a Chinese practice dating back over 3,000 years, has evolved significantly. Given the vast differences in historical, cultural, and environmental contexts, a direct application of ancient feng shui principles to modern homes may not always be suitable. Striking a balance between tradition and modernity is key. By using reason and considering individual needs, we can selectively incorporate feng shui elements into contemporary home design.
Building Orientation: Feng shui, while rooted in ancient Chinese principles, must be adapted to modern contexts. In Thailand, the focus should be on aligning a home’s orientation with prevailing winds and sunlight, while also considering modern building codes. Natural light is crucial for both feng shui and well-being. By balancing traditional wisdom with practical considerations, you can create a harmonious living space.
Building Shape: Feng shui traditionally favors rectangular or square houses. This is rooted in colder climates where these shapes retain heat. In tropical regions like Thailand, L or U-shaped houses with courtyards are more common. These designs offer better ventilation and natural light, aligning with tropical architectural principles.
Trees and Feng Shui: While feng shui discourages large trees in front of houses due to concerns about blocked energy, their practical benefits, such as providing shade and reducing indoor temperatures, are undeniable. However, tree selection is crucial. Trees with spreading canopies are preferred over dense ones to ensure proper airflow and prevent pollen-related health issues.
Door Placement: Feng shui suggests that a house should have one main entrance, preferably large, to welcome positive energy. A smaller rear door can aid in ventilation. This concept, rooted in traditional Chinese architecture, emphasizes the importance of airflow and energy flow within a home. While modern homes may have more complex layouts, the basic principle of ensuring a balanced flow of energy remains relevant.
Balancing the Five Elements in Interior Design
The harmony and balance of the five elements—wood, fire, earth, water, and metal—are central to feng shui. Understanding the relationships between these elements is essential for creating harmonious and balanced interior spaces.
The Wood Element: Representing growth and life, the wood element is associated with green and brown. Incorporating wood into your interior, through plants, furniture, or natural materials, can enhance the vitality of a space and create a warm ambiance, aligning with feng shui principles.
The Fire Element: Representing passion and transformation, the fire element is associated with the color red. Incorporate it into your home with warm lighting, candles, or red accents to create a vibrant and energetic atmosphere.
The Earth Element: Representing stability and nourishment, the earth element is associated with yellow and brown. Incorporate it into your home with materials like stone, clay, and ceramics to create a grounded and calming atmosphere.
The Metal Element: Symbolizing clarity, order, and discipline, the metal element is represented by white and metallic colors. Sleek, metallic designs contribute to the balance of elements. Materials like steel, stainless steel, chrome, or brass can be used in structural, decorative, or fitting applications. Geometric designs are often associated with the metal element.
The Water Element: Symbolizing fluidity, freedom, and wisdom, the water element is represented by colors ranging from blue to black. It can be incorporated into interior design through elements such as mirrors, glass, and water features like ponds, fountains, or aquariums. Beyond the obvious use of water features like waterfalls and fountains, incorporating curved lines and reflective surfaces into the design can also distribute the energy of the water element.
Feng shui is a vast and intricate belief system that encompasses every room and nearly every detail of a home, from the foundation to the roof. It serves as a comprehensive guide to living, taking into account both practical use and the need for adaptation over time. As time changes, so do the climate and surrounding environment, making it necessary to adjust the elements within a home. While some feng shui beliefs may not be suitable for modern contexts or difficult to apply, the core principles of feng shui, which are rooted in nature and emphasize the comfort of the inhabitants, remain timeless and applicable to all eras.