Design
Tom Dixon Experience
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ได้มีการมาเยือนเมืองไทยของ Tom Dixon ผู้ก่อตั้งแบรนด์ออกแบบชั้นนำระดับโลกจากประเทศอังกฤษ โดย Motif ผู้เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายเพียงผู้เดียวในประเทศไทยมากว่า 13 ปี ซึ่งในปี 2025 ทางแบรนด์เลือกปักหมุดในโซนเอเชียเพื่อจัดกิจกรรม Tom Dixon’s 48 Hours และเลือกประเทศไทยเป็นหมุดหมายแรกสำหรับการเดินทางครั้งใหม่ โดยอีเว้นต์นี้ได้เคยเกิดขึ้นกับเมืองใหญ่ทั่วโลกที่มีทั้งความเป็นเมืองแห่งดีไซน์ที่เรียกได้ว่าเป็น Design Destination อาทิ โคเปนฮาเกน ปารีส มิลาน สตอล์กโฮล์ม และเซี่ยงไฮ้ หนึ่งในวาระสำคัญของอีเว้นต์คือ Design Talk ที่คุณ Tom Dixon มาบอกเล่าและถ่ายทอดประสบการณ์ในการทำงานและแนวคิดรวมไปถึงแรงบันดาลใจในการออกแบบ
The Industrial Alchemist of Design จากความดิบแบบพังก์สู่การเล่นแร่แปรธาตุแห่งการออกแบบ

การเดินทางของ Tom Dixon เป็นประจักษ์พยานอันน่าทึ่งถึงพลังแห่งความไม่เหมือนใคร ทอมไม่เคยอยากเป็นนักออกแบบ ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการออกแบบ และไม่ได้มีความทะเยอทะยานใดๆ เลยในตอนเด็ก “แต่ผมชอบวาดรูป” ทอมกล่าว เมื่อประมาณอายุ 16 ทอมพบว่าตัวเองชอบปั้นดิน และได้ค้นพบความสามารถในการเปลี่ยนวัสดุหน้าตาน่าเกลียดให้กลายเป็นอะไรบางอย่างที่อย่างน้อยก็มีความน่ามองมากขึ้น สิ่งนี้ส่งอิทธิพลให้กับตัวเขาเป็นอย่างมากในเวลาต่อมา พอๆ กับการถือกำเนิดดนตรีพังก์ที่กลายมาเป็นมูฟเม้นต์สำคัญในวัฒนธรรมป๊อป “เช่นกันกับเด็กอื่นๆ รุ่นผม พวกเราเติบโตขึ้นในยุคที่มีวัฒนธรรมพังก์ในอังกฤษ และมันมีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับดนตรีในช่วงเวลานั้นคุณไม่จำเป็นจะต้องมีทักษะหรือประกาศนียบัตรอะไรรองรับ คุณอาจจะไม่ต้องเรียนรู้วิธีการเล่นดนตรีและคุณอาจจะร้องเพลงได้แย่มากแต่ คุณก็ยังสามารถขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตเพลงฮิตได้” ทอมกล่าวต่ออีกว่า “ผมไม่เคยเป็นพังก์แต่ช่วงเวลาที่ผมเติบโตขึ้นนั้นมันก็มีกลุ่มวัฒนธรรมย่อยที่หลากหลายมากในอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็น Glam Rock, Rock ‘n’ Roll, Skinhead, New Romantic”
อิทธิพลของดนตรีส่งต่อไปยังวงการแฟชั่น จาก The Sex Pistols สู่ Vivienne Westwood เช่นเดียวกับทอม “ผมสนใจในดนตรีมากกว่าการออกแบบ เมื่ออายุ 17 ผมเป็นมือเบสในวงดนตรีดิสโก้ แต่เนื่องด้วยอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์ทำให้เส้นทางดนตรีของผมต้องสิ้นสุดลงและทำให้ผมไม่ต้องทำอะไรเลยอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่ผมได้สะสมชิ้นส่วนจักรยานยนต์ รถยนต์ และได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคการเชื่อมโลหะ” ทอมค้นพบว่า การเชื่อมเป็นเทคนิคที่น่าสนใจมาก มันทำให้สามารถสร้างประติมากรรมได้อย่างรวดเร็วและแข็งแรง “ผมคิดว่าถ้าคุณสร้างชิ้นงานจากเซรามิกหรือไม้ คุณจะต้องวางแผน และถ้าคุณทำอะไรผิดพลาดก็ไม่สามารถย้อนกลับไปได้แต่ในการเชื่อมโลหะถ้าคุณทำอะไรพลาดก็แค่ทำใหม่ ผมคิดว่าสิ่งที่ผมเรียนรู้จากอุตสาหกรรมดนตรีคือผมสามารถทำหรือสร้างอะไรโดยที่ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีและไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากใครทั้งสิ้น ซึ่งคุณจะเห็นได้จากผลงานในช่วงแรกว่ามันค่อนข้างน่าเกลียด” ผลงานออกแบบเก้าอี้ของทอมในช่วงแรกส่วนใหญ่จึงมักทำจากโลหะในหลากหลายรูปแบบ
“ผมคิดว่ามันมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการอยู่ในลอนดอนในช่วงนั้นที่ทำให้คุณสามารถทำผลงานที่เป็นอิสระมากๆ เก้าอี้ชื่อ Dangerous มันเป็นสนิม ไม่ได้ดูน่าดึงดูดและนั่งไม่สบาย แต่ความพิเศษของมันก็คือ ในช่วงเวลานั้น ในลอนดอนมีแค่ผมเพียงคนเดียวที่ทำงานรูปแบบนี้ ผมคิดว่าในโลกยุคใหม่มันเป็นเรื่องยากขึ้นและยากขึ้นที่จะมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดังนั้นคุณจะเห็นได้ว่าผมก็ไม่ได้เก่งเรื่องการออกแบบ ไม่ได้เก่งเรื่องการทำงานโลหะ แต่ทั้งหมดเกิดจากการฝึกฝนที่ทำให้ผมมีฝีมือดีขึ้น” ทอมจึงเริ่มสร้างสิ่งต่างๆ จากข้าวของที่พบเจอ พวกของเหลือทิ้ง วัสดุเป็นของได้มาฟรีๆ และหาง่าย โดยใช้เทคนิคที่รวดเร็ว เขาจึงสามารถเรียนรู้ผ่านการทดลองทำชิ้นงานหลากหลายรูปแบบ
“หลังจากนั้นผมก็เปลี่ยนจากใช้ขยะเหลือทิ้งเป็นการใช้ของจากร้านเครื่องครัว ไม่ว่าจะเป็นกระทะหรือทัพพีจากร้านจีน โดยเอามาผสมกับตะเกียบจักรยาน วัตถุเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้ผมเรียนรู้เกี่ยวกับรูปฟอร์มและสัดส่วนที่ผมนำมาใช้ในการทำงาน” ซึ่งในขณะนั้นทอมยังคงซุ่มสร้างสรรค์ผลงานของเขาอยู่เงียบๆ คนเดียว “ข้อดีของการทำงานคนเดียวคือ ไม่มีใครมาบอกคุณว่าควรหรือไม่ควรทำอะไร ผมเคยไปเห็นโรงเรียนศิลปะซึ่งมีการวิจารณ์มากมาย ซึ่งมักจะมีการบรีฟที่จำเพาะเจาะจง และคุณจะต้องทำงานตามที่อาจารย์สั่ง แต่คุณจะเห็นได้ว่าผมมีความอิสระอย่างเต็มที่ที่จะสร้างชิ้นงานให้ออกมาเป็นรูปร่างไหนก็ได้ตามวัสดุที่ผมพบเจอ และนั่นคือสิ่งสำคัญเช่นกันสำหรับผมในการที่ไม่ได้ไปโรงเรียนศิลปะ” ในแง่ของผลลัพธ์คือ ในทันทีที่ทอมเริ่มขายของได้ เขาจึงเริ่มสนใจในความคิดที่จะกลายมาเป็นดีไซเนอร์ “เพราะผู้คนอยากซื้อของจากผม ดังนั้นสำหรับผม นี่คือการเปลี่ยนขยะให้กลายเป็นทองคำได้ราวกับนักเล่นแร่แปรธาตุ”
จากนั้นเทคนิคการเชื่อมของทอมเริ่มพัฒนาขึ้นอย่างมาก จากการฝึกฝนและลองผิดลองถูก “ในช่วง 1-2 ปีแรก ผมอาจจะทำเก้าอี้ไปเกือบ 100 ตัว ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ถ้าผมทำงานหลักหรือเรียนอยู่” ทอมทดลองทำเก้าอี้จากหลากหลายวัสดุ และรูปทรงก็เริ่มที่จะดูดีมากขึ้น โครงสร้างก็เริ่มที่จะแข็งแรงมากขึ้นและนั่งสบายมากขึ้น “ในประเทศอังกฤษตอนนั้นไม่มีใครสนใจการออกแบบนักเราไม่ได้มี Design Museum ไม่มีสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับงานดีไซน์เลย” จึงเป็นเรื่องที่น่าโล่งใจเมื่อเขาถูกค้นพบโดยชาวอิตาเลียน และได้รู้ว่าเขาสามารถประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ได้จริงๆ “เก้าอี้ที่ผมทำขึ้นได้ถูกนำออกสู่สายตานานาชาติผ่านการจัดการของบริษัทลักชัวรี่แบรนด์ของอิตาลี และผมได้เรียนรู้อย่างมากจากชาวอิตาเลียนในแง่ของคุณค่าของดีไซน์ที่มีต่ออุตสาหกรรม” หลังจากนั้นทอมจึงมีร้านของตัวเอง พร้อมพนักงานประมาณ 15 คน ในโรงงานเล็กๆ ที่ผลิตงานโลหะให้กับเขา
The Journey of Tom Dixon การเดินทางครั้งใหม่
หลังจากการทดลองและลองผิดลองถูก และการทำงานเพื่อผลิตผลงานของตัวเอง ก็มาถึงจุดที่ทอมตระหนักได้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาควรจะทำงานประจำเสียที
“งานแรกที่ผมทำคือที่บริษัท habitat ซึ่งเป็นของ IKEA บริษัทเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในฐานะ Creative Director จากจุดเริ่มต้นที่สร้างชิ้นงานด้วยตัวเองและมีโรงงานเล็กๆ ไปสู่การทำงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ เป็นที่ๆ ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับแบรนด์ดิ้งและการทำงานกับนักออกแบบ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ creative direction” เวลา 10 ปี ในการทำงานที่ habitat และผลงานมากมาย นานและมากพอที่จะทำให้ทอมรู้สึกเบื่อและอยากที่จะสร้างแบรนด์ของตัวเอง ทอมจึงเริ่มสร้างแบรนด์ Tom Dixon ขึ้นมา “เป็นชื่อที่มีประโยชน์มากเพราะมันออกเสียงง่ายในทุกภาษา” ทอมกล่าว “ผมสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมาโดยที่ใช้โมเดลของแบรนด์แฟชั่นในการทำแบรนดิ้งมากกว่าแบรนด์ดีไซน์ เพราะมันเป็นเรื่องค่อนข้างแปลกสำหรับนักออกแบบที่จะทั้งทำการผลิตเอง ทำการตลาดเอง และส่งคอลเล็กชั่นเหล่านั้นไปยังท้องตลาดเอง นักออกแบบส่วนมากจะมีสตูดิโอแล้วก็มีบริษัทที่เป็นตัวแทนมาทำงานหนักทั้งหมด ทั้งเอาไปผลิต ตั้งราคา และอื่นๆ แต่ผมอยากจะมีจักรวาลที่เป็นของผมอย่างแท้จริง และนั่นคือสาเหตุที่ผมเอาชื่อผมติดไว้เหนือประตู และคือสาเหตุที่ผมทำสิ่งที่ผมทำอยู่ในทุกวันนี้”
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ แบรนด์ Tom Dixon นี้มีอายุ 22 ปีแล้ว “เราทำทั้งเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่ง เราทำแม้กระทั่งน้ำหอม และส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนใหญ่มากที่เราทำคือโคมไฟ ผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าสนใจที่โคมไฟมักจะเป็นเครื่องตกแต่งที่ผู้คนมักจะกล้าเสี่ยงกล้าลองอะไรใหม่ๆ ในบรรดาเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด”
Divergent Reversal เรื่องตลก 69 ในวงการออกแบบ
ทอมเล่าถึงแรงบันดาลใจเบื้องหลังเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นของเขา ชิ้นแรกคือโคมไฟที่ชื่อว่า Beat “เป็นเรื่องน่าสนใจอีกเช่นกันว่าบางครั้งคุณเริ่มโปรเจ็กต์ขึ้น แต่ผลลัพธ์ไม่ใช่สิ่งที่คุณเคยตั้งต้นไว้เลย” ในตอนแรกสุด British Council ซึ่งเป็นองค์กรภาครัฐได้มาขอให้ทอมทำโปรเจ็กต์การกุศลในอินเดียและไนจีเรีย โดยขอร้องทอมให้เดินทางไปที่ประเทศเหล่านี้และทำงานกับช่างเหล็ก เพื่อที่จะช่วยหาวิธีสร้างรายได้ใหม่ๆ ให้กับคนในท้องที่
“ที่เมืองไจปูร์ ผมได้พบกับช่างฝีมือที่ทำภาชนะโลหะสำหรับใส่น้ำผลิตด้วยกรรมวิธีที่ทำกันมานับพันปี แต่งานฝีมือแขนงนี้กำลังขาดแคลนคนสานต่อ เพราะไม่มีใครอยากใช้หม้อโลหะอีกต่อไป ชาวบ้านเปลี่ยนมาใช้หม้อพลาสติกซึ่งราคาถูกกว่าและมีน้ำหนักเบากว่า ดังนั้นสิ่งที่เราทำคือ สร้างคอลเล็กชั่นโคมไฟที่มีพื้นฐานจากรูปทรงของภาชนะใส่น้ำจากอินเดียเหล่านี้ พวกเราแค่เปลี่ยนฟังก์ชั่นของมัน แต่ยังคงเก็บรูปร่างและเทคนิคในงานโลหะเอาไว้” แล้วมันก็กลายมาเป็นหนึ่งในความสำเร็จแรกๆ “เราสร้างคอลเล็กชั่นโคมไฟ Beat จากทองเหลือง และเรื่องที่น่าสนใจก็คือ เกิดของลอกเลียนแบบปรากฏขึ้นในตลาดอย่างรวดเร็วมาก ซึ่งผมคิดว่านั่นคือปัญหาที่ทุกแบรนด์ต้องพบเจอ ผมเจอของปลอมที่ขายออนไลน์มากมายที่ราคาถูกกว่าของเรามาก เจอแม้กระทั่งการหยิบยืมกลิ่นอายไปใช้ในสินค้าอื่น เช่น ชามของ IKEA ซึ่งมีรูปร่างสีสันใกล้เคียงกันมาก เพียงแต่เป็นชาม ไม่ใช่โคมไฟ” และสิ่งที่น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกก็คือมีคนทำคลิป Hack ไอเดีย ที่บอกว่าถ้าคุณอยากจะได้โคมไฟ Tom Dixon ในราคาถูกคุณก็สามารถไปซื้อชามจาก IKEA มาเจาะรูแล้วคุณก็จะได้โคมไฟ Beat “ดังนั้น จากชามใส่น้ำที่ไจปูร์ซึ่งกลายมาเป็นโคมไฟในงานของผม ได้กลับกลายเป็นชามอีกครั้งที่ IKEA และก็กลับมาเป็นโคมไฟอีกครั้งผ่านบรรดานักทำคลิป มันจึงน่าสนใจที่ได้เห็นวิวัฒนาการของสินค้าหนึ่งชิ้น”
“ที่เมืองไจปูร์ ผมได้พบกับช่างฝีมือที่ทำภาชนะโลหะสำหรับใส่น้ำผลิตด้วยกรรมวิธีที่ทำกันมานับพันปี แต่งานฝีมือแขนงนี้กำลังขาดแคลนคนสานต่อ เพราะไม่มีใครอยากใช้หม้อโลหะอีกต่อไป ชาวบ้านเปลี่ยนมาใช้หม้อพลาสติกซึ่งราคาถูกกว่าและมีน้ำหนักเบากว่า ดังนั้นสิ่งที่เราทำคือ สร้างคอลเล็กชั่นโคมไฟที่มีพื้นฐานจากรูปทรงของภาชนะใส่น้ำจากอินเดียเหล่านี้ พวกเราแค่เปลี่ยนฟังก์ชั่นของมัน แต่ยังคงเก็บรูปร่างและเทคนิคในงานโลหะเอาไว้” แล้วมันก็กลายมาเป็นหนึ่งในความสำเร็จแรกๆ “เราสร้างคอลเล็กชั่นโคมไฟ Beat จากทองเหลือง และเรื่องที่น่าสนใจก็คือ เกิดของลอกเลียนแบบปรากฏขึ้นในตลาดอย่างรวดเร็วมาก ซึ่งผมคิดว่านั่นคือปัญหาที่ทุกแบรนด์ต้องพบเจอ ผมเจอของปลอมที่ขายออนไลน์มากมายที่ราคาถูกกว่าของเรามาก เจอแม้กระทั่งการหยิบยืมกลิ่นอายไปใช้ในสินค้าอื่น เช่น ชามของ IKEA ซึ่งมีรูปร่างสีสันใกล้เคียงกันมาก เพียงแต่เป็นชาม ไม่ใช่โคมไฟ” และสิ่งที่น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกก็คือมีคนทำคลิป Hack ไอเดีย ที่บอกว่าถ้าคุณอยากจะได้โคมไฟ Tom Dixon ในราคาถูกคุณก็สามารถไปซื้อชามจาก IKEA มาเจาะรูแล้วคุณก็จะได้โคมไฟ Beat “ดังนั้น จากชามใส่น้ำที่ไจปูร์ซึ่งกลายมาเป็นโคมไฟในงานของผม ได้กลับกลายเป็นชามอีกครั้งที่ IKEA และก็กลับมาเป็นโคมไฟอีกครั้งผ่านบรรดานักทำคลิป มันจึงน่าสนใจที่ได้เห็นวิวัฒนาการของสินค้าหนึ่งชิ้น”
เมื่อมาถึงตอนนี้ ทอมจึงต้องหาวิธีว่าจะจัดการกับคู่แข่งของเขา คือบรรดาของลอกเลียนแบบได้อย่างไร “ผมก็เลยคิดว่ามันอาจได้เวลาแล้วที่ผมจะขโมยไอเดียจากคนที่ขโมยของผมไปโดยการทำคอลเล็กชั่นที่ผมสามารถจำหน่ายในราคาถูกได้เช่นกัน ดังนั้นผมจึงลองทำโคมไฟ Beat โดยใช้อลูมิเนียม ไม่ใช่ทองเหลือง และไม่ใช่งานฝีมือ ซึ่งผมเลือกใช้อะลูมิเนียมที่มีคุณภาพมากกว่าที่พวกผลิตของปลอมใช้ และมันก็ยังให้ vibe ใหม่ๆ ที่ไม่ใช่ความละเมียดแบบงานฝีมือ แต่เป็น vibe แบบอินดัสเตรียล และมีราคาถูกเพียงครึ่งหนึ่งของคอลเล็กชั่นทองเหลือง” และนี่ก็คือเรื่องราวของโคมไฟ Beat ที่สอนให้เรารู้ว่าเราไม่ควรที่จะสมยอม ไม่ควรที่จะนั่งอยู่เฉยๆ และไม่ควรที่จะยอมแพ้ต่อผู้คนที่ขโมยไอเดียคุณไป
“โคมไฟเป็นของตกแต่งบ้านที่น่าสนใจ เพราะเป็นวัตถุที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสเปซ และจะต้องดูดีทั้งในเวลาที่เปิดและปิด เราเรียนรู้เกี่ยวกับแสงเงาและการสร้างแสงผ่านตัววัสดุหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นแก้วหรือโลหะเพื่อที่ให้ได้ผลลัพธ์แบบแสงธรรมชาติ ความน่าสนใจก็คือ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการตกแต่งภายใน แต่ก็เป็นเรื่องที่อยู่ตรงใจกลางการปฏิวัติทางวิศวกรรม เมื่อเทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้าวงการดีไซน์ก็จะต้องก้าวไปด้วยกัน เราได้ก้าวผ่านยุคที่ใช้หลอดไฟธรรมดามาเป็นยุคของไฟ LED และนั่นก็คือโลกใหม่ทั้งใบสำหรับนักออกแบบ เราสามารถลดการใช้พลังงานแต่สามารถสร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการออกแบบที่เพิ่มมากขึ้น”
หนึ่งในผลงานของ Tom Dixon ที่มาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี คือ โคมไฟ Melt ซึ่งเป็นสินค้า Best seller ที่เมืองไทย โดยแรงบันดาลใจเริ่มต้นคือโคมไฟรูปทรงกลม การผลิตโคมไฟนี้จะต้องใช้โลหะเคลือบผิว ซึ่งในกระบวนการผลิตจะมีประมาณ 5% ที่เป็นของมีตำหนิและ 5% นั้นก็จะถูกทุบแล้วหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งทอมกลับชอบชิ้นที่โดนทุบมากกว่าชิ้นที่เป็นวงกลม “ผมใช้ความพยายามอย่างมากในการที่จะทำให้สิ่งนี้กลายมาเป็นโคมไฟให้ได้ ผมทดลองใช้โพลีคาร์บอเนตแต่ก็ล้มเหลว แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เราก็ทดลองใช้แบบพิมพ์มาเคลือบโลหะ ซึ่งสิ่งที่ได้นั้นคือการฉาบผิวแก้ว ด้วยโลหะที่หนาเพียง 2 มม. ซึ่งเราสามารถมองทะลุผ่านโลหะไปได้แต่เมื่อมองกลับมาจะดูเหมือนเป็นกระจกเงา มันเป็นเทคนิคเดียวกับที่ใช้ในแว่นตากันแดดและยานอวกาศ”
โคมไฟ Melt กลายมาเป็นสิ่งที่ให้ความสวยงามแบบ psychedelic ทั้งดูสมัยใหม่ แต่ก็สามารถดูเป็นธรรมชาติได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละมุมมอง อาจจะดูเหมือนน้ำที่กำลังไหลในแม่น้ำหรือลวดลายในลูกแก้ว “เรามี Melt ทั้งเวอร์ชั่นโคมไฟห้อย แบบติดกำแพง และแชนเดอเลียร์ขนาดใหญ่ แล้วเรายังมีเวอร์ชั่นสีดำด้วย และตอนนี้เรากำลังผลิตเวอร์ชั่น Portable ซึ่งผมคิดว่าการพกพาได้นี้ก็จะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องใหม่ในวงการออกแบบเช่นกัน ไม่ใช่เพียงแค่ LED ที่นำเอาสิ่งใหม่ๆ มาให้เรา แบตเตอรี่ก็เช่นกัน การทำงานที่มากขึ้นทำให้ตอนนี้คุณสามารถเอาโคมไฟไปไหนด้วยก็ได้ เหมือนกับที่คนเคยใช้ตะเกียงหรือเทียนไขเมื่อ 200 ปีก่อน คุณสามารถเอาโคมไฟไปได้ด้วยทุกที่ไม่ว่าจะภายในหรือภายนอกตัวอาคาร
The New Trend After Pandemic เทรนด์อุบัติใหม่กับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป
ในช่วงภาวะการระบาดของโรคโควิด ที่ประเทศอังกฤษ ร้านอาหารส่วนมากต้องขยับขยายและนำโต๊ะออกมาวางด้านนอกมากขึ้น การเกิด Social Distance ถือเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวการผลิต เก้าอี้ Groove ซึ่งเป็นเก้าอี้ที่ทอมใช้เวลาการทำมากกว่า 10 ปี
“คนมักจะถามว่าแรงบันดาลใจของผมมาจากไหน ซึ่งบางครั้งมันก็เป็นแค่เพียงไอเดียที่แตกต่างออกไป ผมมีความหมกมุ่นกับหุ่นยนต์ เมื่อ 10 ปีก่อน ผมได้ตัดสินใจที่จะนำหุ่นยนต์อุตสาหกรรมไปมิลาน เพื่อผลิตเก้าอี้ขึ้น 200 ตัว แนวคิดเบื้องหลังสิ่งนี้คือการพูดถึงความซับซ้อนของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และแนวโน้มในอนาคตที่คนจะสามารถผลิตของจำนวนน้อยกว่าและใกล้แหล่งผู้บริโภคมากขึ้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปจ้างผลิตในประเทศที่ราคาถูกกว่าแล้วขนส่งไปทั่วโลก เก้าอี้ที่ผมผลิตขึ้นมาในตอนนั้นค่อนข้างที่จะเป็นเหลี่ยมและนั่งไม่ค่อยสบายนัก อย่างไรก็ตาม ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับการขึ้นรูปโลหะโดยเครื่องมืออุตสาหกรรม และผมก็เริ่มไปสนใจการใช้อะลูมิเนียมซึ่งเป็นโลหะที่เหมาะสำหรับการใช้ภายนอกตัวอาคารรวมทั้งยังรีไซเคิลได้ง่าย และกลายเป็นที่มาของ Groove ซึ่งใช้เทคนิคการผลิตที่เรียบง่าย โดยไม่ต้องการการตกแต่งเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นลวดลายหรือสีสัน เพราะว่าโครงสร้างของมันนั้นก็ดูสวยงามพอแล้ว”
“คนมักจะถามว่าแรงบันดาลใจของผมมาจากไหน ซึ่งบางครั้งมันก็เป็นแค่เพียงไอเดียที่แตกต่างออกไป ผมมีความหมกมุ่นกับหุ่นยนต์ เมื่อ 10 ปีก่อน ผมได้ตัดสินใจที่จะนำหุ่นยนต์อุตสาหกรรมไปมิลาน เพื่อผลิตเก้าอี้ขึ้น 200 ตัว แนวคิดเบื้องหลังสิ่งนี้คือการพูดถึงความซับซ้อนของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และแนวโน้มในอนาคตที่คนจะสามารถผลิตของจำนวนน้อยกว่าและใกล้แหล่งผู้บริโภคมากขึ้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปจ้างผลิตในประเทศที่ราคาถูกกว่าแล้วขนส่งไปทั่วโลก เก้าอี้ที่ผมผลิตขึ้นมาในตอนนั้นค่อนข้างที่จะเป็นเหลี่ยมและนั่งไม่ค่อยสบายนัก อย่างไรก็ตาม ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับการขึ้นรูปโลหะโดยเครื่องมืออุตสาหกรรม และผมก็เริ่มไปสนใจการใช้อะลูมิเนียมซึ่งเป็นโลหะที่เหมาะสำหรับการใช้ภายนอกตัวอาคารรวมทั้งยังรีไซเคิลได้ง่าย และกลายเป็นที่มาของ Groove ซึ่งใช้เทคนิคการผลิตที่เรียบง่าย โดยไม่ต้องการการตกแต่งเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นลวดลายหรือสีสัน เพราะว่าโครงสร้างของมันนั้นก็ดูสวยงามพอแล้ว”
“โดยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนที่นั่งเก้าอี้ได้แย่มาก ผมมักจะใช้เฟอร์นิเจอร์แบบตามใจชอบ และนี่คือแนวคิดที่กลายมาเป็นคอลเล็กชั่นเก้าอี้ FAT คือสามารถรองรับการนั่งได้หลายรูปแบบ รวมทั้งการนั่งที่ไม่ได้เป็นไปตามแบบแผนทั่วไป ที่มันถูกเรียกว่า FAT มาจากการที่เราทำส่วนผ้าบุให้อ้วนขึ้น แล้วคุณก็สามารถใช้มันนั่งได้ทุกท่า ไม่ว่าจะหันหลังกลับ หรือนั่งหันข้าง หรือนั่งตะแคงแบบใดก็ตาม และ ความสวยงามไม่ได้อยู่เพียงแค่ผิวสัมผัสที่ใช้ แต่รวมไปถึงการเพิ่มจำนวนเก้าอี้และวางต่อกันในรูปแบบต่างๆ” เวอร์ชั่นล่าสุดของเก้าอี้นี้ เป็นเก้าอี้ทำงานซึ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงโควิดที่ทุกคนต้องทำงานที่บ้าน “ถ้าคุณเอาเก้าอี้ทำงานแบบออฟฟิศไปไว้ที่บ้านมันก็จะดูไม่เข้ากัน เราเพียงแต่ต้องการเก้าอี้ที่นั่งทำงานชั่วครั้งชั่วคราว เพราะเมื่อเวลาคุณอยู่บ้าน คุณไม่ได้นั่งทำงานตลอดเวลา และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เราสร้างของชิ้นหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องกับช่วงเวลานั้นๆ เช่นเดียวกันกับที่เราจะผลิตโซฟาขึ้นมาในคอลเล็กชั่น FAT นี้เช่นกัน ในอดีตโซฟาเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ทุกคนนั่งหันหน้าไปทางเดียวกันโดยมีจุดกึ่งกลางอะไรบางอย่างเช่น เตาผิง หรือในยุคถัดมาคือโทรทัศน์ แต่ตอนนี้ วิธีการนั่งโซฟาของผู้คนไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกต่อไปเพราะทุกคนมีสมาร์ทโฟนของตัวเอง ทุกคนแค่ดูหน้าจอของตัวเองไปแต่เราก็ยังอยากนั่งด้วยกัน เราจึงคิดที่จะผลิตโซฟาที่ทำให้คุณสามารถนั่งตรงไหนก็ได้ แบบไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องหันหน้าไปทางเดียวกัน แต่ก็ยังคงนั่งด้วยกันอยู่”
Collaboration For Satisfaction ความร่วมมืออย่างยั่งยืน
สำหรับใครที่ติดตามแวดวงดีไซน์อย่างใกล้ชิด อาจจะได้เห็นการ collab ของ Tom Dixon กับแบรนด์อื่นๆ มากมาย ซึ่งเมื่อถามถึงหลักเกณฑ์ในการตัดสินใจที่จะร่วมทำงานกับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งแล้วนั้น ทอมให้คำตอบว่า “ผมคิดว่ามันมีการคอลแล็บมากมายเกินไปที่เป็นเพียงแค่ความร่วมมือทางการตลาดมากกว่าการร่วมมือกันอย่างจริงใจ ดังนั้นผมจะปฏิเสธเมื่อรู้สึกว่าเป็นเพียงแค่การเอาโลโก้ไปแปะบนสินค้า โดยที่ไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรใหม่ให้เกิดขึ้นเลย การคอลแล็บที่ดี คือการที่ทักษะของคุณส่งเสริมกับทักษะของพาร์ทเนอร์ ดังนั้นเราจึงมองหาผู้เชี่ยวชาญที่จะมาช่วยส่งเสริมกันและกัน”
เมื่อถูกถามถึงว่าแล้วมีวงการไหนที่เขายังไม่เคยไปคอลแล็บด้วยและอยากจะทดลองทำ “นั่นก็คือสิ่งที่สวยงามเกี่ยวกับการเป็นนักออกแบบ มันคือการที่คุณไม่ควรจำกัดตัวเอง แต่เป็นการที่คุณสามารถเข้าไปสัมผัสสาขาอาชีพอื่นๆ ถ้าคุณอยากจะสำรวจโลกอื่น การออกแบบก็คือพาสปอร์ตที่จะพาคุณไปได้ ส่วนตัวผมคงมีเป็นร้อยอย่างที่ผมยังไม่เคยได้ออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญที่สุดในยุคนี้ ผมไม่เคยออกแบบอาคารมากกว่า 1 อาคาร รวมทั้งผมอยากที่จะออกแบบเสื้อผ้าผู้ชายซักคอลเล็กหนึ่ง หรือแม้แต่ยานพาหนะยานยนต์ต่างๆ อะไรก็ได้ ผมเป็นคนที่เบื่อง่ายและการออกแบบก็คืออาชีพที่เหมาะกับผม เพราะผมเป็นเหมือนเด็กที่อยากจะได้พบกับสิ่งใหม่อยู่เสมอ”
แล้วความยั่งยืนล่ะ? สิ่งนี้มีความสำคัญขนาดไหนสำหรับ Tom Dixon
“อันที่จริงแล้วผมคิดว่าความยั่งยืนเป็นเรื่องสำคัญกับเราทุกคน มันไม่ได้สำคัญกับผมมากไปกว่าคนอื่น และเราทุกคนควรจะมีความรับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้อได้เปรียบเกี่ยวกับการทำงานในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ก็คือ อัตราการบริโภคเป็นไปอย่างช้าๆ เราสามารถผลิตสินค้าด้วยพลาสติกได้ เพราะของชิ้นนั้นจะถูกใช้งานอยู่นาน แต่ในทางกลับกัน ถ้าคุณใช้พลาสติกสำหรับการผลิตขวดน้ำหนึ่งขวดมันเป็นเหมือนอาชญากรรมแห่งความสิ้นเปลืองเลยทีเดียว ดังนั้นเราจึงพยายามที่จะทำให้ทุกผลิตภัณฑ์ของเรามีความทนทาน ตัวผมเองทุกวันนี้ใช้โต๊ะเขียนหนังสือที่ตกทอดมาจากคุณทวดซึ่งตอนที่ท่านซื้อมานั้นก็เป็นของโบราณแล้ว อาจจะจากสมัยหลุยส์ที่ 16 หรือประมาณห้าเจนเนอเรชั่นก่อนคุณทวดได้ โดยรวมแล้วกว่าจะมาถึงผมก็นับรวมเป็นเวลาแปดชั่วอายุคน และนั่นคือตัวอย่างของชิ้นงานที่มีประโยชน์ และมีความคงทนอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นอะไรที่ผมอยากจะใส่เข้าไปในผลิตภัณฑ์ทุกชิ้น เช่น เราไม่จำเป็นต้องทำให้มันแฟชั่นหวือหวามาก เราต้องผลิตให้มันมีคุณภาพที่ถูกต้องที่มันจะอยู่ได้ยาวนาน และเราต้องสามารถซ่อมแซมมันได้ด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจเป็นไปไม่ได้หากเป็นอุตสาหกรรมอื่น แต่ถ้าในวงการเฟอร์นิเจอร์แล้วคุณสามารถทำได้” ทอมกล่าวอีกว่าความยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงแค่เทรนด์ แต่มันเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับทุกคน “ผมคิดว่าทุกคนอาจจะรู้สึกสับสนเพราะว่ามันมี green-washing ที่เป็นแค่ความยั่งยืนแบบปลอมๆ และมันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำถ้าคุณเป็นผู้ผลิตแต่สุดท้าย แล้วผมคิดว่าเราควรจะคำนึงถึงที่มาของวัตถุดิบว่าเกิดอะไรขึ้นกับมันภายหลังจากนั้น ระยะเวลาที่ผู้คนสามารถใช้งานของหนึ่งชิ้น และแบรนด์ทุกแบรนด์ก็ควรที่จะคำนึงถึงเรื่องนี้”
ทอมเล่าถึงโปรเจ็กต์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของเขา ที่เป็นแนวคิดเกี่ยวกับอนาคต ว่านักออกแบบสามารถทำอะไรได้บ้างที่จะสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับโลกนี้
“ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคหนึ่งทางอินเตอร์เน็ต คือ เมื่อปี 1917 มีนักออกแบบได้นำเสนอแนวคิดที่ว่าเราสามารถสร้างเมืองใต้น้ำและลอยมันขึ้นมาสู่ผิวน้ำได้ เขาจึงได้คิดค้นเทคนิคที่นำเอากรอบโลหะและปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไปเพื่อดึงดูดแร่ธาตุจากน้ำให้เข้ามาเกาะที่โลหะ มันไม่ได้สามารถสร้างเมืองได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือมันกลายเป็นซีเมนต์ธรรมชาติ ผมจึงได้ทดลองทำสิ่งนี้ที่บาฮามาส ซึ่งนอกจากโครงโลหะจะกลายเป็นซีเมนต์ธรรมชาติแล้ว ยังดึงดูดสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลทุกอย่าง ทั้งปลา ฟองน้ำ และอื่นๆ การทดลองนี้ทำขึ้นเมื่อประมาณแปดปีที่แล้ว คุณจะสามารถมองเห็นเปลือกแข็งของซีเมนต์ธรรมชาติได้หลังจากสามถึงสี่ปีผ่านไป จะมีการก่อตัวหนาของสารแบบเดียวกันกับหินปูนและเปลือกหอย จากแกนโลหะที่หนาเพียง 10 มม. อาจจะกลายเป็น 20 ซม.ได้โดยซีเมนต์ธรรมชาติที่มาพอก มันอาจจะไม่ใช่วิธีที่ได้ดีนักถ้าจะนำผลการทดลองนี้ไปใช้ผลิตเก้าอี้ แต่สิ่งที่เราได้ค้นพบก็คือว่าเราสามารถนำปะการังที่แตกหักมาวางบนโครงสร้างเหล่านี้และมันจะโตเร็วกว่าปกติสี่ถึงห้าเท่าเลยทีเดียว ดังนั้นนี่จึงเป็นแนวคิดริเริ่มที่เราจะสามารถสร้างแนวปะการังถาวรขึ้นได้”
ทอมเล่าถึงโปรเจ็กต์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของเขา ที่เป็นแนวคิดเกี่ยวกับอนาคต ว่านักออกแบบสามารถทำอะไรได้บ้างที่จะสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับโลกนี้
“ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคหนึ่งทางอินเตอร์เน็ต คือ เมื่อปี 1917 มีนักออกแบบได้นำเสนอแนวคิดที่ว่าเราสามารถสร้างเมืองใต้น้ำและลอยมันขึ้นมาสู่ผิวน้ำได้ เขาจึงได้คิดค้นเทคนิคที่นำเอากรอบโลหะและปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไปเพื่อดึงดูดแร่ธาตุจากน้ำให้เข้ามาเกาะที่โลหะ มันไม่ได้สามารถสร้างเมืองได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือมันกลายเป็นซีเมนต์ธรรมชาติ ผมจึงได้ทดลองทำสิ่งนี้ที่บาฮามาส ซึ่งนอกจากโครงโลหะจะกลายเป็นซีเมนต์ธรรมชาติแล้ว ยังดึงดูดสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลทุกอย่าง ทั้งปลา ฟองน้ำ และอื่นๆ การทดลองนี้ทำขึ้นเมื่อประมาณแปดปีที่แล้ว คุณจะสามารถมองเห็นเปลือกแข็งของซีเมนต์ธรรมชาติได้หลังจากสามถึงสี่ปีผ่านไป จะมีการก่อตัวหนาของสารแบบเดียวกันกับหินปูนและเปลือกหอย จากแกนโลหะที่หนาเพียง 10 มม. อาจจะกลายเป็น 20 ซม.ได้โดยซีเมนต์ธรรมชาติที่มาพอก มันอาจจะไม่ใช่วิธีที่ได้ดีนักถ้าจะนำผลการทดลองนี้ไปใช้ผลิตเก้าอี้ แต่สิ่งที่เราได้ค้นพบก็คือว่าเราสามารถนำปะการังที่แตกหักมาวางบนโครงสร้างเหล่านี้และมันจะโตเร็วกว่าปกติสี่ถึงห้าเท่าเลยทีเดียว ดังนั้นนี่จึงเป็นแนวคิดริเริ่มที่เราจะสามารถสร้างแนวปะการังถาวรขึ้นได้”
สุดท้ายทอมได้กล่าวทิ้งท้าย ฝากถึงนักออกแบบไทยรุ่นใหม่ว่า “ทุกวันนี้ดีไซเนอร์รุ่นใหม่จากประเทศไทยมีความเท่าเทียมกับดีไซเนอร์จากโตเกียวหรือลอนดอนและในประเทศอื่นๆ ในการที่จะเข้าถึงและติดต่อกับโลกแห่งการออกแบบ ดังนั้นมันหมายความว่า คุณเพียงแค่ต้องมีความเป็น Original ที่จะโดดเด่นออกมา แต่มันก็เป็นเรื่องยากสำหรับทุกคนที่จะโดดเด่นขึ้นมาในที่ซึ่งมีผู้คนเพิ่มขึ้นมากมายในวงการถ้าเปรียบกับช่วงที่ผมเริ่มต้น มันง่ายขึ้นที่จะผลิตผลงาน แต่มันก็ยากขึ้นที่จะประสบความสำเร็จ เพราะมีการแข่งขันที่สูงขึ้น ดังนั้นคำแนะนำก็คือหาความพิเศษของคุณให้เจอ”
“เพียงแค่คุณมาจากประเทศไทยคุณก็มีความพิเศษมากแล้ว ที่นี่เป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมรวมไปถึงประวัติศาสตร์และงานฝีมืออันน่าทึ่ง ดังนั้นจงใช้มันให้เป็นประโยชน์และนี่คือคำแนะนำของผม”
Story: Titima C. , Wachirapanee Whisky Markdee
Photos: Tom Dixon, Motif Art of Living