Design
The Philosophy of Balancing
เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเริ่มวางแผนการสร้างบ้านหรือการตกแต่งบ้านใหม่ คนส่วนมากมักจะนึกถึงการปรึกษาสถาปนิกและนักออกแบบตกแต่งภายใน เพื่อให้คำแนะนำและก่อร่างสร้างไอเดียต่างๆ ให้เป็นบ้านที่ตรงใจ แต่ก็มีอีกไม่น้อยเช่นกันที่นึกถึงซินแสและการดูฮวงจุ้ยเป็นอันดับแรก เพื่อให้ได้ที่อยู่อาศัยที่เชื่อว่าอยู่แล้วจะเป็นสิริมงคล นำพาความโชคดี ความมั่งคั่ง ความเจริญในทุกด้านมาให้กับชีวิตของผู้อยู่อาศัย
ซึ่งหลักความเชื่อเหล่านั้นหากจะว่าไปแล้ว หลักการของสถาปนิกกับฮวงจุ้ยนั้นมีความคล้ายคลึงกันอยู่ประมาณ 60-70% หากเพียงใช้ภาษาที่สื่อสารคนละแบบเท่านั้น กล่าวคือหลักการพื้นฐานของศาสตร์ทั้งสองนั้น เมื่อเป็นเรื่องของที่พักอาศัยก็เพียงอิงหลักพื้นฐานที่การอยู่สบาย โดยที่หลักสถาปัตย์ยึดการสร้างความสมดุลของการหมุนเวียนของพลังงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทิศทางแดด ลม ฝน การหมุนเวียนจากสิ่งภายนอก เช่น ถนนที่มีรถเข้าออกรวม ไปถึงทางสัญจรที่จะส่งผลต่อการอยู่อาศัยและการใช้งานจริง ในขณะที่ฮวงจุ้ยจะพูดถึงทิศทางการหมุนเวียนของดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นหลัก เพื่อให้พลังงาน “ชี่” จากธรรมชาติไหลผ่านอย่างสะดวก ซึ่งคือพลังจากสภาพแวดล้อมที่ส่งผลกับการดำเนินชีวิตของผู้อยู่อาศัยโดยตรงเช่นเดียวกันและมีใจความใกล้เคียงกันกับหลักของสถาปัตย์ หากแต่ฮวงจุ้ยมีหลักเกณฑ์วิธีการที่แยกย่อยออกไปในเรื่องของโชคลางและคติความเชื่อ ซึ่งเหล่าความเชื่อและบริบทแยกย่อยเหล่านี้ เป็นปัจจัยที่อาจทำให้ใครหลายคนคิดไปเองว่าฮวงจุ้ยนั้นเป็นเพียงเรื่องของเหล่า “สายมู” หรือมองว่าเป็นความงมงาย รวมไปถึงพยายามหาเหตุผลจากหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ นำไปคัดง้างหลักฮวงจุ้ยที่มีมานับพันปี ซึ่งอันที่จริงแล้วความเชื่อเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องผิด ถึงแม้จะถูกวัดด้วยไม้บรรทัดสมัยใหม่ก็ตาม เพราะทุกความเชื่อและหลักการล้วนมีเหตุผลรองรับซ่อนอยู่ เช่นเดียวกับความเชื่อในด้านอื่นๆ ของขนบธรรมเนียมที่มีมาแต่โบราณ เพียงแค่ทำความเข้าใจกับเหตุผลที่มาที่ไป ซึ่งมีหลักการจากเรื่องของธรรมชาติ สภาพอากาศ ไปจนถึงหลักการออกแบบ จะพบว่าทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกัน คือการบาลานซ์พลังงานที่จะทำให้สเปซนั้นๆ ส่งผลดีต่อผู้อยู่อาศัย ทั้งในแง่กายภาพและจิตใจ ความรู้สึก
ศาสตร์จีนโบราณและงานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่
ฮวงจุ้ยเป็นศาสตร์ที่กำเนิดขึ้นในประเทศจีน เป็นเวลากว่า 3,000 ปีมาแล้ว ดังนั้นในแง่ของบริบท สภาพดินฟ้าอากาศ สภาพภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งศักยภาพของมนุษย์ องค์ความรู้และความก้าวหน้าในด้านต่างๆ จึงแตกต่างกับทุกวันนี้ และแน่นอนว่าต่างจากประเทศไทยโดยแทบจะสิ้นเชิง ดังนั้นหากถามว่าอะไรคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการผสมผสานหลักฮวงจุ้ยเข้ากับการดีไซน์บ้านสมัยใหม่ คำตอบก็คือการยึดแนวทางสายกลาง ไม่สุดโต่ง และมองทุกอย่างด้วยการใช้เหตุและผลในการเลือกหรือการไม่เลือกใช้สิ่งใดก็ตามให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย อาทิ
ทิศทางของการวางตัวบ้าน
หากเป็นหลักของฮวงจุ้ยนั้นจะมีความเชื่อที่ว่าหันบ้านไปทางทิศเหนือเป็นทิศแห่งอำนาจ ทิศตะวันออกคือทิศมงคล ทิศตะวันตกคือทิศบารมี และทิศใต้เป็นทิศแห่งความมั่งคั่งซึ่งถือกันว่าเป็นทิศที่ดีที่สุดในการหันหน้าบ้าน ซึ่งหลักการเหล่านี้มีที่มาจากทิศทางการรับลมของประเทศจีนในแต่ละฤดูกาล ในขณะที่เมืองไทยนั้นทิศใต้เป็นทิศที่รับแดดแรงมากเนื่องจากอยู่ในโซนเส้นศูนย์สูตร ส่วนทิศที่รับแดดกำลังพอเหมาะคือทิศตะวันออกและทิศเหนือ ส่วนทิศรับลมของประเทศไทยได้แก่ทิศตะวันตกเฉียงใต้คือลมมรสุมฤดูร้อน และทิศตะวันออกเฉียงเหนือคือลมมรสุมฤดูหนาว รวมไปถึงข้อจำกัดในทุกวันนี้ ที่การสร้างบ้านหรือการเลือกซื้อบ้าน ซึ่งมักจะต้องสร้างให้หันหน้าบ้านไปสู่ถนน ทำให้เราอาจจะไม่สามารถเลือกอะไรได้มากนัก ดังนั้นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันและควรคำนึงถึงมากกว่าคือทิศทางลมและตำแหน่งของหน้าต่าง และการใช้งานจริงว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่ส่วนไหนของบ้านเป็นหลัก และอยากให้มีห้องไหนที่สามารถเปิดหน้าต่างรับลมและรับแสงแดดได้ โดยตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว บ้านที่สว่างด้วยแสงธรรมชาติจะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยสามารถมีรายได้และเจริญมั่งคั่งมากกว่าบ้านที่อับแสง ซึ่งเมื่อมองตามหลักกฎหมายปัจจุบัน แต่ละห้องจะต้องมีช่องระบายอากาศมากกว่า 10 % คือทุกห้องจะต้องมีแสงเข้าหรือระบายอากาศได้ และแน่นอนว่าแสงสว่างมีผลต่อสุขภาพจิตและอารมณ์ของผู้อยู่อาศัยโดยตรง จากงานวิจัยพบว่าการได้รับแสงธรรมชาติอย่างเพียงพอจะช่วยลดอาการซึมเศร้า สร้างอารมณ์เชิงบวก ในทางกลับกัน หากได้รับแสงธรรมชาติน้อยจะส่งผลต่ออารมณ์และสมดุลของสารเคมีในสมอง การออกแบบหรือการเลือกบ้านจึงควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยหลัก
รูปทรงอาคาร
ตามหลักฮวงจุ้ยแล้วบ้านทรงสี่เหลี่ยมคือรูปทรงบ้านที่ดีที่สุด ทั้งสี่เหลี่ยมจตุรัสและสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งความเชื่อนี้น่าจะมีส่วนมาจากสภาพอากาศของประเทศจีนที่มีความหนาวเย็น การสร้างบ้านสี่เหลี่ยมตันจะสามารถเก็บกักความอบอุ่นไว้ได้ดีโดยเฉพาะที่บริเวณใจกลางบ้าน หากแต่สำหรับประเทศเขตร้อนอย่างเมืองไทย และในหลักการดีไซน์บ้าน Tropical แล้ว รูปทรงบ้านแบบตัว L หรือตัว U ที่มี courtyard พื้นที่โอบล้อมไว้สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งสามารถดักลมและหลบแดดได้ดีกว่าบ้านทรงสี่เหลี่ยมตัน ทั้งยังเพิ่มพื้นที่ในการใส่หน้าต่างให้ดึงแสงธรรมชาติและรับลมเข้าสู่ตัวบ้านอีกด้วย
การปลูกต้นไม้ใหญ่
ในทางหลักฮวงจุ้ยแล้วถือว่าการปลูกต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านขัดขวางพลังชี่ที่จะเข้ามาสู่บ้าน หากแต่ในความเป็นจริงแล้วการปลูกต้นไม้หน้าบ้านช่วยให้ร่มเงาโดยเฉพาะบ้านที่หันไปทางทิศใต้หรือทิศตะวันตกซึ่งต้องโดนแดดบ่ายอยู่ทุกวัน และจะทำให้บ้านร้อน ไม่น่าอยู่อาศัย ซึ่งทิศหน้าบ้านของบ้านคนไทยนั้นมักจะเป็นห้องรับแขกที่อาจจะใช้เป็นห้องนั่งเล่นไปในตัว รวมทั้งชั้น 2 ห้องที่อยู่ด้านหน้าก็มักจะเป็นห้องนอน Master Bedroom การมีต้นไม้จะช่วยกรองแสงและลดอุณหภูมิในตัวบ้าน
เพียงแต่ต้องคำนึงถึงตำแหน่งการปลูกที่ลงตัว และเลือกปลูกไม้ยืนต้นที่ให้ร่มเงา มีรูปทรงโปร่ง มีกิ่งก้านสาขา ไม่เป็นพุ่มทึบบังลม หลักฮวงจุ้ยนั้นเชื่อว่าบ้านที่มีต้นไม้หน้าบ้าน หากมีลมพัดเกสรดอกไม้เข้าตัวบ้านอาจทำให้คนในบ้านเจ็บป่วย รวมทั้งอาจจะมีสัตว์หรือแมลงต่างๆ ที่มากับดอกไม้อาจสร้างอันตราย ซึ่งนับว่าเป็นหลักการที่ยังมีเหตุผลรองรับจนถึงยุคปัจจุบันนี้ที่ผู้คนมากมายเป็นโรคภูมิแพ้รวมไปถึงการแพ้ละอองเกสรดอกไม้ จีงควรเลือกพันธุ์ไม้ที่นำมาปลูกให้เหมาะสม
ประตูหน้าบ้าน
หลักฮวงจุ้ยเชื่อว่าประตูเข้าบ้านควรจะต้องเป็นบานใหญ่สูงและมีตำแหน่งเดียว การมีประตูทางเข้า 2 ตำแหน่งนั้นเหมือนมี 2 ปากจะทำให้เก็บทรัพย์ไม่อยู่ และเชื่อว่าการมีประตูหลังบ้านจะช่วยให้อากาศถ่ายเทในบ้านและทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความคิดที่ดี ปลอดโปร่ง จะทำอะไรก็สำเร็จ ประตูหลังต้องเล็กกว่าประตูหน้าบ้านเพื่อจะได้เปิดรับกระแสชี่เข้ามาจำนวนมากและระบายออกทางประตูหลัง ถ้าหากประตูหลังมีขนาดใหญ่กว่าจะทำให้กระแสชี่ไหลผ่านออกไปไวเกินไป หลักการเรื่องประตูนี้มีที่มาจากบ้านคนจีนซึ่งนิยมหันหน้าบ้านไปทางทิศใต้เพื่อรับลม จึงออกแบบให้ประตูหน้าบ้านมีขนาดใหญ่สามารถเปิดรับลมได้เต็มที่และเป็นบานผลักเข้า ส่วนประตูหลังบ้านให้มีขนาดปกติ ทำให้ลมเข้าได้มากและกระจายทั่วถึง หากในปัจจุบันแปลนบ้านมีความซับซ้อนยิ่งกว่านั้น จึงควรพิจารณาทางเข้าออกของลมในแต่ละห้องเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดี
ธาตุทั้งห้าและงานตกแต่ง
หนึ่งในแก่นของฮวงจุ้ยคือการผสมผสานธาตุพื้นฐานทั้ง 5 อันได้แก่ ไม้ ไฟ ดิน น้ำ และโลหะ (บางตำราคือ ทอง) ซึ่งแต่ละธาตุมีคุณสมบัติเฉพาะตัว และเชื่อว่าธาตุเหล่านี้มีความสัมพันธ์และส่งผลกระทบต่อกันเป็นวงจร ซึ่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและละเอียดอ่อนในการออกแบบตกแต่งภายใน
ไม้
เป็นสัญลักษณ์ของการเติบโต การขยายตัว และพลังชีวิต แทนด้วยสีเขียวและน้ำตาล สื่อผ่านได้ด้วยต้นไม้ เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้ และของตกแต่งที่ทำจากวัสดุจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการจัดวางต้นไม้ในห้องนั่งเล่นหรือห้องทำงาน การเลือกเฟอร์นิเจอร์ไม้มินิมัลเส้นสายเรียบง่ายเพื่อรับกับงานสถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์น รวมไปถึงงานสิ่งทอหรือ Wall Art สีเขียวหรือน้ำตาล ซึ่งนอกจากจะสื่อถึงธาตุสำคัญตามหลักฮวงจุ้นแล้วยังช่วยสร้างบรรยากาศอบอุ่นให้กับสเปซด้วย
ไฟ
เป็นสัญลักษณ์ของความหลงไหลและการเปลี่ยนแปลง แทนด้วยสีแดง และสามารถนำไปใช้กับบ้านได้โดยสื่อผ่านแสงไฟ เทียน และโทนสีอบอุ่น ทั้งการติดตั้งไฟส่องสว่างแบบปรับความสว่างได้ เพื่อสร้างความอบอุ่น การใช้แสงจากไฟโคม ตะเกียง หรือเทียน รวมไปถึงการหยอดสีแดง-ส้ม ลงไปในดีเทลของงานตกแต่ง เช่น หมอนอิง หรือพรม
ดิน
ตัวแทนของความมั่นคง การลงหลักปักฐาน และความชุ่มชื่น แทนได้ด้วยสีเหลืองและน้ำตาล ของตกแต่งที่ทำจากวัสดุอย่างพวกหิน ดิน หรืองานเซรามิก คือตัวแทนของธาตุนี้ อย่างแจกัน ภาชนะ หรือประติมากรรมเซรามิก สร้างความรู้สึกมั่นคง รวมไปถึงสีเอิร์ธโทน ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำตาลหลากเฉดหรือสีเหลืองมัสตาร์ด
โลหะ
เป็นสัญลักษณ์ของความแจ่มใส ความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีวินัย ถ้าเป็นสีคือโทนสีขาวและเมททัลลิก การใช้งานตกแต่งเส้นสายเรียบกริบจากวัสดุประเภทโลหะช่วยสร้างสมดุลของธาตุ เช่น การใช้โลหะอย่างเหล็ก สเตนเลส โครเมียม หรือทองเหลือง ที่สามารถใช้ได้ทั้งงานโครงสร้าง งานตกแต่ง หรือพวกงานฟิตติ้งต่างๆ งานดีไซน์รูปทรงเรขาคณิต เป็นต้น
น้ำ
สื่อถึงความลื่นไหล ความอิสระ และสติปัญญา สีโทนฟ้า น้ำเงิน ไปจนถึงดำคือสัญลักษณ์ของธาตุน้ำ สามารถนำเข้ามาใช้ในงานตกแต่งได้ผ่านทางกระจก แก้ว หรือส่วนตกแต่งที่เป็นน้ำทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น บ่อน้ำ สระ น้ำตก น้ำพุ หรือตู้ปลา นอกจากวิธีง่ายๆ พื้นฐานอย่างการตกแต่งด้วยน้ำตกน้ำพุอย่างที่เห็นๆกันทั่วไปแล้ว การใช้กรจะในการออกแบบเพื่อสร้างความต่อเนื่องและความลื่นไหลให้กับสเปซก็ถือเป็นการกระจายพลังของธาตุน้ำเช่นเดียวกัน
ฮวงจุ้ยยังมีหลักความเชื่อที่แตกแขนงปลีกย่อยอีกมากมายนานัปการที่ครอบคลุมทุกห้องและเกือบทุกรายละเอียดในตัวบ้าน ตั้งแต่พื้นไปจรดหลังคา เป็นเหมือนกับคู่มือการอยู่อาศัยที่รวมไปถึงเมื่อใช้งานจริงและเมื่อระยะเวลาผ่านไป บ้านจะต้องถูกเปลี่ยนองค์ประกอบต่างๆ ในบ้านเพื่อให้รับกับยุคใหม่ๆ ที่เข้ามา ซึ่งสอดคล้องกับหลักการออกแบบเพราะเมื่อเวลาเปลี่ยน ดินฟ้าอากาศและสิ่งแวดล้อมรอบด้านก็ต้องเปลี่ยนไปเช่นกัน ซึ่งแม้บางความเชื่อเหล่านี้อาจจะไม่เหมาะสมกับบริบทในปัจจุบันหรือหยิบนำมาใช้ได้ยาก หากแต่ใจความสำคัญของฮวงจุ้ยที่อิงหลักธรรมชาติและคำนึงถึงความอยู่สบายของผู้อยู่อาศัย ก็จะยังคงเป็นความจริงที่ใช้ได้อยู่เสมอสำหรับทุกยุคเช่นกัน
อ้างอิง: All about บ้าน รู้ทันฮวงจุ้ยด้วยหลักการดีไซน์ โดย สิริกานดา ขาวเข็ม