Design
Drinks The Night Away
ค่ำคืนของกรุงเทพฯ เป็นเหมือนหม้อหลอมแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่หลากหลาย ในช่วงปีที่ผ่านมาวงการบาร์เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่เพียงแค่เสิร์ฟเครื่องดื่มเท่านั้น แต่ยังเพิ่มประสบการณ์ที่ตื่นตาตื่นใจในทุกประสาทสัมผัส สถานที่เหล่านี้โดดเด่นด้วยการตกแต่งภายในที่แปลกใหม่ ค็อกเทลที่รังสรรค์อย่างประณีต และบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่าง QoQoon พาคุณท่องราตรีไปดื่มไปดริ้งค์กับบาร์เก๋ดีไซน์เด่น ตั้งแต่สปีคอีซี่ที่ซ่อนตัวอยู่หลังประตูลับ ไปจนถึงบาร์บนตึกสูงที่มีทัศนียภาพอันงดงามของเมืองบันเทิงยามค่ำคืนของกรุงเทพฯ เพื่อมอบประสบการณ์การดื่มที่หลากหลาย
Invitation Only ความลับในห้องแดงกับฉากกรุงเทพฯ พาโนรามา
จินตนาการถึงการก้าวเข้าสู่โลกแห่งความพิเศษบนชั้นสูงสุดของตึกเอ็มไพร์ ท่ามกลางแสงสีของเมืองกรุงเทพฯ ที่ทอดยาวสุดสายตา นั่นคือประสบการณ์ที่ Invitation Only มอบให้คุณ บาร์แห่งนี้เกิดจากแรงบันดาลใจอันเรียบง่ายแต่ทรงพลัง นั่นคือความประทับใจในวิวพระอาทิตย์ตกดินเหนือแม่น้ำเจ้าพระยาที่มองเห็นได้จากชั้น 55 ของตึกเอ็มไพร์ ที่ผู้ก่อตั้งต้องการแบ่งปันความรู้สึกพิเศษนี้ให้กับทุกคน จึงได้สร้างสรรค์บาร์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแห่งนี้ขึ้นมา
คอนเซ็ปต์ของ Invitation Only นั้นชัดเจนมาก นั่นคือการสร้างสถานที่ที่พิเศษและเข้าถึงได้เฉพาะผู้ที่ได้รับเชิญเท่านั้น การใช้ชื่อ “Invitation Only” ก็เพื่อสื่อถึงความรู้สึกนี้โดยตรง เมื่อก้าวเข้ามาในร้าน คุณจะรู้สึกเหมือนได้รับเชิญเข้าสู่โลกส่วนตัวที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเอง
การออกแบบของร้านเน้นความคลาสสิกที่ผสมผสานกับความทันสมัย โดยมีสีแดงเป็นสีหลักที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและสนุกสนาน สีแดงที่เลือกใช้เป็นสีแดงเฉดพิเศษที่สดใสกว่าสีแดงคลาสสิกทั่วไป เพื่อให้เกิดความรู้สึกสนุกสนาน ขี้เล่น รู้สึกถึงความสุขมากกว่าความร้อนแรง และเป็นแดงเฉดที่ช่วยส่งให้บรรยากาศช่วงพระอาทิตย์ตกดินดูน่าประทับใจมากขึ้นและยังคงรู้สึกสดใสอยู่แม้เมื่อฟ้ามืดแล้ว นอกจากนี้ การใช้แสงสีที่นุ่มนวลและการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ที่ลงตัว ไม่ว่าจะเป็นโซฟาบิลด์อินทรงโค้งริมหน้าต่าง หรือโซฟาลอยตัวสีแดงหนานุ่มในโซนกลางร้าน ยังช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเหมาะแก่การสังสรรค์ ไหนจะเพดานผ้าสีแดงจับเดรปที่มีแชนเดอเลียแขวนอยู่ตรงกลางนั่นอีก
จุดเด่นอีกอย่างที่ทำให้ Invitation Only แตกต่างจากบาร์อื่นๆ คือการออกแบบทางเข้าที่ดูลึกลับ ชวนให้อยากรู้ว่าภายในร้านจะเป็นอย่างไร นอกจากนี้ วิวกรุงเทพฯ แบบพาโนรามาที่มองเห็นได้จากร้าน ก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ โดยเฉพาะช่วงพระอาทิตย์ตกดิน แสงสีของเมืองจะสะท้อนลงบนผิวน้ำ ทำให้เกิดภาพที่สวยงามระยิบระยับ เป็นกับแกล้มชั้นดีให้กับมื้ออาหารและเครื่องดื่ม
Photos: Invitation Only
ชั้น 55 ตึก Empire Tower 1 ถนนสาทร
เปิดทุกวัน เวลา 16.00 เป็นต้นไป
Tel: 061 549 9966
FB: invitation.only.bkk
IG: invitation.only.bkk
Rogues Bar สปีคอีซี่บาร์ที่ใส่ความขบถลงไปในความหรูหรา
Rogues Bar เป็นผลงานการออกแบบโดยกานต์ ศวภุชพงษ์ Design Director แห่ง Paradigm Shift โดยการดึงเอาคอนเซ็ปต์ของสปีคอีซี่บาร์แบบอเมริกันในยุคแรกมาตีความใหม่ให้มีความทันสมัยและน่าสนใจยิ่งขึ้นด้วย บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยเสน่ห์ของความหรูหราที่แอบใส่ความขบถลงไปแบบพอเหมาะพอดี
การออกแบบของ Rogues Bar ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบาร์ลับในยุค Prohibition ของอเมริกา ที่เหล้าเถื่อนถูกซ่อนและแอบจำหน่ายอย่างลับๆ บรรยากาศภายในบาร์จึงถูกสร้างให้มีความลึกลับและน่าค้นหา โดยใช้โทนสีอบอุ่นและให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในถังไม้โอ้คขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นภาชนะที่ใช้ในการขนส่งเหล้าเถื่อนในอดีต ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์และวัสดุสไตล์อเมริกันยุค 70s เช่น หวาย ปาล์ม และไม้โอ้คย้อมสีเหมือนถังเหล้า ให้กลิ่นอายแบบไมอามี แคลิฟอร์เนีย
แม้จะมีบรรยากาศที่ดูเป็นกันเอง แต่ Rogues Bar ก็ยังคงความหรูหราด้วยการเลือกใช้วัสดุอย่างหินอ่อน โคมไฟทองเหลือง การออกแบบแสงสว่างที่เน้นโทนสีอบอุ่น เช่น สีโอ้คและสีแดงเบอร์กันดี ก็ช่วยสร้างบรรยากาศนัวร์ๆ ชวนครึ้ม เสาต้นใหญ่กลางห้องไม่ได้เพียงแค่แบ่งพื้นที่ใช้สอย แต่ยังเป็นจุดเด่นที่ดึงดูดสายตา และ สร้างฟังก์ชั่นแต่ละห้องให้เกิดโมเมนต์ที่ต่างกัน
ภายในบาร์ถูกแบ่งออกเป็นโซนๆ เพื่อให้ผู้ที่มาใช้บริการได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป โซนบาร์หลักที่มีวอลเปเปอร์ลายป่ามีนกบิน สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เหมาะสำหรับการนั่งจิบค็อกเทล ส่วนที่สองคือโซนไพรเวทที่ถูกออกแบบมาสำหรับการจัดแสดงดนตรีสด มีเวทีเล็กๆ สำหรับวงดนตรีแจ๊ส ซึ่งเป็นดนตรีที่ได้รับความนิยมในยุคสปีคอีซี่ การเลือกใช้พรมเปอร์เซียวินเทจและโคมไฟทองเหลืองช่วยเพิ่มความแกลมให้กับโซนนี้
Rogues Bar ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่สำหรับการดื่ม แต่ยังเป็นพื้นที่สำหรับการพบปะสังสรรค์และเพลิดเพลินกับดนตรีสด ดีไซน์ที่ใส่ใจในรายละเอียดแบบสปีคอีซี่บาร์ดั้งเดิมทำให้บาร์แห่งนี้กลายเป็นสถานที่ที่น่าสนใจสำหรับนักดื่มและใครที่กำลังมองหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในยามค่ำคืน
Photos: Kan Sivapuchpong
ชั้น 2 โรงแรม Inter Continental Bangkok Sukhumvit
ซอยสุขุมวิท 59 ถนนสุขุมวิท
เปิดทุกวัน เวลา 17.00 เป็นต้นไป
Tel: 02 760 5999
FB: roguesbarangkok
IG: roguesbar
Blessing Shophouse ความรุ่มรวยและโชคลาภแห่งโลกตะวันออก
ในย่านอโศกที่แสนพลุกพล่าน มีมุมสงบที่ซ่อนตัวอยู่ในตึกแถวเก่าแก่แห่งหนึ่ง นั่นคือ Blessing Shophouse ค็อกเทลบาร์ที่ผสมผสานเสน่ห์ของโลกเก่าแบบตะวันออกเข้ากับความทันสมัยได้อย่างลงตัว ด้วยคอนเซ็ปต์ “Ancient Modernism” ที่นำเอาภูมิปัญญาและการออกแบบของชาวจีนโบราณมาตีความใหม่ให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน
เรื่องราวของ Blessing Shophouse เริ่มต้นจากตระกูลชาวไทยเชื้อสายจีนที่มีธุรกิจนำเข้าเฟอร์นิเจอร์โบราณจากจีน ด้วยความผูกพันกับสถานที่และความรักในเครื่องดื่ม เอกพล เรืองกิจจานุวัฒน์ ทายาทของตระกูลจึงนำตึกแถวเก่าที่เคยเป็นบ้านของครอบครัวตั้งแต่ยังเล็กมาปรับปรุงใหม่ให้กลายเป็นบาร์ค็อกเทลสุดพิเศษ และด้วยความที่มีอาชีพเป็นสถาปนิกอยู่แล้ว การรีโนเวตและชุบชีวิตใหม่ให้กับตึกแถวเก่าแห่งนี้จึงไม่ใช่เรื่องยาก
การออกแบบของบาร์เต็มไปด้วยรายละเอียดที่น่าสนใจ ตั้งแต่ประตูทางเข้าที่ถูกพลิกตลบไปซ่อนอยู่ด้านหลังตึก ถ้าใครที่มาครั้งแรกอาจจะสับสนหาทางเข้าไม่เจอให้เดินอ้อมไปด้านหลัง สังเกตประตูบานเลื่อนเล็กๆ ที่มีป้ายสัญลักษณ์เป็นกราฟฟิกที่ตัดทอนมาจากรูปดอกบ๊วยในกรอบสี่เหลี่ยม ซึ่งถ้าพิจารณาดูดีๆ จะเห็นว่ามีปีกค้างคาวซ้อนอยู่ที่สี่มุม ซึ่งในภาษาจีน คำว่า “ค้างคาว” เป็นคำพ้องเสียงกับคำว่า “พร” ค้างคาวที่มุมสี่ตัวสื่อถึงพรสี่ประการของชาวจีน อันประกอบไปด้วย ความสุข ความสำเร็จ อายุยืนยาว สมกับชื่อ Blessing ที่แปลว่า “การอวยพร”
เมื่อผ่านประตูบานเลื่อนเข้ามาจะมีทางเดินสั้นๆ ทอดไปสู่ซุ้มประตูวงกลมอีกชั้นหนึ่ง เรียกกันว่า ประตูพระจันทร์ (Moon Gate) อันเป็นสถาปัตยกรรมจีนที่สื่อถึงการเกิดใหม่ และมีความเชื่อดั้งเดิมว่า ผู้ที่เดินผ่านประตูพระจันทร์จะพบเจอแต่ความโชคดีและมั่งคั่ง บรรยากาศใต้แสงโคมสลัวภายในร้านเหมือนกับอยู่อีกโลกที่ต่างจากความวุ่นวายด้านนอกที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ภายในบาร์ตกแต่งด้วยไม้สีเข้มเป็นหลัก ชั้นล่างนี้เป็นส่วนของบาร์ค็อกเทล มีของบาร์ซึ่งเป็นรูปค้างคาวสี่มุมซ้อนกับดอกบ๊วยกระจายตัวอยู่ในรายละเอียดตามส่วนต่างๆไม่ว่าจะเป็นผนังกรุไม้หรือฝ้าเพดานที่ทำเป็นหลายเลเยอร์ไปจนถึงโต๊ะที่ออกแบบและสั่งผลิตขึ้นมาใหม่ มีลูกบอลเงาวับกลางเพดานเป็นเซ็นเตอร์พีซ มีการใช้กระจกมาเป็นส่วนประกอบสำคัญอีกอย่างในการออกแบบ ซึ่งนอกจากจะช่วยขยายมุมมองจากห้องแถวแคบๆ ให้ดูกว้างขึ้นแล้วยังอาศัยคุณสมบัติการสะท้อนแสงของกระจกและโลหะมันวาวสร้างมิติที่น่าสนใจ
ชั้นสองเป็นส่วนสำหรับแขกที่ต้องการความไพรเวท ซึ่งมีรายละเอียดในการตกแต่งที่ผสมผสานความเป็นตะวันตกกับตะวันออก-โลกเก่ากับโลกใหม่เข้าด้วยกันอย่างชาญฉลาดเช่นเดียวกับชั้นล่าง เฟอร์นิเจอร์แอนทีคที่ใช้ในร้านไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ ม้านั่ง เก้าอี้ หรือซุ้มเตียงที่ดัดแปลงมาเป็นบูธดิสเพลย์เครื่องดื่มหรือบูธดีเจในโอกาสพิเศษ ทั้งหมดล้วนมาจากร้าน Royaltique ของครอบครัว สามารถจัดวางร่วมกับงานดีไซน์สมัยใหม่ได้อย่างไม่เคอะเขิน
เมนูเครื่องดื่มของ Blessing Shophouse นั้นก็ยังมีความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง โดยแต่ละแก้วจะถูกตั้งชื่อและสร้างสรรค์ขึ้นมาตามความเชื่อและวัฒนธรรมจีน สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ ค่ำคืนแห่งโชคดี (One Luvcky Night) ซึ่งเป็นแกนหลักของการสร้างสรรค์ค็อกเทลทั้ง 9 แก้ว โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ Fresh & Bless ค็อกเทลที่ให้ความสดชื่นและนำโชคสำหรับค่ำคืนที่ยาวนาน Heavenly Fruity ค็อกเทลที่สร้างสรรค์จากผลไม้มงคล และ Spiritual Forward ค็อกเทลที่นำเสนอรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของเบสสปิริตอย่างจิน รัม และวิสกี้ จับคู่กับส่วนผสมที่เป็นวัตถุดิบตะวันออก ที่จิบได้ยาวตลอดคืน แถมด้วยเพลย์ลิสต์กรูวี่ๆ ที่เปิดคลอตลอดทั้งคืน
Photos: Santawat Chienpradit
บ้านเลขที่ 6/5 ซอยสุขุมวิท 14 (แยกสอง) ถนนสุขุมวิท
เปิดวันพุธ-วันอาทิตย์ เวลา 18.00 – 24.00 น.
Tel: 095 596 4655
FB: blessingshophouse
IG: blessingshophouse
The O.S.S. ฉากชีวิตของราชาผ้าไหมไทยกับบทบาทสายลับ CIA
ก้าวเข้าสู่โลกแห่งความลับและหรูหราของ The O.S.S. Bar ซึ่งไม่ใช่แค่บาร์ แต่เป็นเหมือนกับพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวของจิม ทอมป์สัน ผ่านการออกแบบที่ได้แรงบันดาลใจมาจากชีวประวัติของจิม ทอมป์สัน ช่วงชีวิตที่อยู่ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานบริการเชิงกลยุทธ์ (Office of Strategic Services) หรือ O.S.S. ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งก็คือหน่วยงาน CIA ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อบาร์ค็อกเทลสุดชิลล์แห่งนี้
HBA บริษัทออกแบบชื่อดังระดับโลกผู้รับหน้าที่ตกแต่งภายในบาร์ทั้งหมด ได้นำพาเราเข้าสู่โลกแห่งความลับของจิม ทอมป์สัน ด้วยการใช้โทนสีเข้มขรึมสร้างบรรยากาศที่ลึกลับและน่าค้นหา เพดานสูงโปร่งที่ประดับด้วยโคมไฟระย้าทรงเรขาคณิตทำจากทองเหลืองส่องแสงสลัวเพิ่มมิติแห่งความเร้นลับแต่อบอุ่นอยู่ในที ภายในจัดวางโซฟาหนังสีเข้มที่เชิญชวนให้นั่งพักผ่อน ผนังอิฐเปลือยขรุขระตกแต่งด้วยภาพถ่ายขาวดำของจิม ทอมป์สันในช่วงเวลาต่างๆ พร้อมกับไฟสปอตไลท์ที่ส่องลงมาให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในนิทรรศการศิลปะ
HBA บริษัทออกแบบชื่อดังระดับโลกผู้รับหน้าที่ตกแต่งภายในบาร์ทั้งหมด ได้นำพาเราเข้าสู่โลกแห่งความลับของจิม ทอมป์สัน ด้วยการใช้โทนสีเข้มขรึมสร้างบรรยากาศที่ลึกลับและน่าค้นหา เพดานสูงโปร่งที่ประดับด้วยโคมไฟระย้าทรงเรขาคณิตทำจากทองเหลืองส่องแสงสลัวเพิ่มมิติแห่งความเร้นลับแต่อบอุ่นอยู่ในที ภายในจัดวางโซฟาหนังสีเข้มที่เชิญชวนให้นั่งพักผ่อน ผนังอิฐเปลือยขรุขระตกแต่งด้วยภาพถ่ายขาวดำของจิม ทอมป์สันในช่วงเวลาต่างๆ พร้อมกับไฟสปอตไลท์ที่ส่องลงมาให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในนิทรรศการศิลปะ
เคาน์เตอร์บาร์ที่ทำจากไม้เนื้อแข็งถูกออกแบบให้โค้งมน พร้อมกับไฟใต้เคาน์เตอร์ที่ส่องสว่างให้เห็นถึงเท็กซ์เจอร์และลายเส้นของไม้ ชั้นวางขวดเหล้าทำจากเหล็กดัดและตู้โชว์ที่บรรจุเครื่องแก้วคริสตัลและคอลเล็กชันขวดเหล้าหายากให้ความรู้สึกหรูหราและน่าสนใจ ผ้าไหมหลากสีสันที่ใช้ตกแต่งภายในตัดกับพื้นไม้สีเข้มที่ขัดมันวับ เป็นการยกเอาความงามของผ้าไหมไทยกว่า 70 ลายที่ออกแบบอย่างพิถีพิถันมารวมไว้ในบาร์แห่งนี้
ในส่วนของไล้ท์ติ้งถูกออกแบบมาเพื่อสร้างบรรยากาศที่แตกต่างกันในแต่ละโซน โซนบาร์จะใช้แสงสลัวเพื่อสร้างความรู้สึกเป็นส่วนตัว ในขณะที่โซนรับรองจะให้แสงที่สว่างกว่าเพื่อสร้างความรู้สึกโปร่งโล่ง มีโลโก้ของร้านเป็นจุดศูนย์กลางของแสงในบาร์ และสีของไฟที่จะเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาและเฉดแสงดวงอาทิตย์ ในตอนพลบค่ำไฟจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อนและค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มขึ้นตามความคึกคักของบาร์ โดยโคมไฟด้านบนได้ไอเดียมาจากการใช้รหัสมอสและสัญญาณไฟมาตกแต่ง ซึ่งแรงบันดาลใจจากโลกแห่งสายลับนี้นอกจากจะปรากฏอยู่ในรายละเอียดของงานตกแต่งแล้ว ยังนำมาใช้เป็นกิมมิคของการครีเอทค็อกเทลแต่ละแก้วที่ใช้เสิร์ฟ (อ่านรายละเอียดของค็อกเทลที่อิงประวัติชีวิตของจิม ทอมป์สันได้ที่ A Sip To Remember)
นอกจากจะถูกใจขาดื่มนอนดึกแล้ว ในตอนกลางวัน บาร์แห่งนี้จะแปลงโฉมเป็นห้องน้ำชา The O.S.S. Room เสิร์ฟ Afternoon Tea กลางแสงธรรมชาติจากแดดอุ่นมีวิวคลองและสวนไม้เมืองร้อนเขียวครึ้มเป็นฉากหลังสำหรับขาชิลล์
Photos: Santawat Chienpradit
Jim Thompson Heritage Quater
เลขที่ 6/1 ซอยเกษมสันต์ 2 ถนนพระราม 1
เปิดทุกวัน เวลา 18.00 – 24.00 น.
Tel: 063 273 0719
FB: theossbar
IG: theossbarbangkok
Philtration สเน่หายาแฝดใต้ถุนบ้านหมอมี
บาร์ลับใต้ถุนบ้านเก่าแก่กว่า 100 ปีของ “หมอมี” ร้านขายยาแผนโบราณชื่อดัง ที่สืบทอดตำนานการดูแลสุขภาพมาอย่างยาวนาน นำเสนอประสบการณ์ดื่มที่ไม่เหมือนใคร โดยนำเสนอแนวคิด “Oriental Apothecary” ผนวกศาสตร์การแพทย์แผนโบราณเข้ากับศิลปะการผสมเครื่องดื่ม ผสานความคลาสสิกของยุคเก่าเข้ากับความทันสมัยของค็อกเทลสุดสร้างสรรค์ กับรสชาติพิเศษที่ผสมผสานสมุนไพร เครื่องเทศ และชาต่างๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตำรับยาสมุนไพรของหมอมี เพื่อเป็นการสืบทอดตำนานอันยาวนานของตระกูลหมอมี ภายใต้บรรยากาศลึกลับและน่าค้นหา
ที่บอกว่าเป็นบาร์ลับนั้นลับจริงๆ เพราะถ้าไม่มีใครบอกก็คงหาทางเข้าไม่เจอ แถมเมื่อลงประตูเล็กๆเข้าไปชั้นใต้ดินก็ยังหาทางเข้าบาร์ไม่เจออีก ทำให้นึกถึงซีนในหนังผจญภัยย้อนยุคที่ต้องมีการเลื่อนชั้น พลิกตู้หนังสือ หรือหมุนแจกันเพื่อเปิดประตูลับยังไงยังงั้น ในอดีตชั้นใต้ดินของบ้านหมอมีเคยเป็นห้องผลิตยาสมุนไพรจีนและไทยอันล้ำค่า โดยบรรพบุรุษของตระกูลหมอมีได้สืบทอดตำนานการรักษาด้วยสมุนไพรมาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยกาลเวลา ห้องใต้ดินแห่งนี้จึงถูกปิดตายและเก็บรักษาไว้เป็นความลับของตระกูลมาช้านาน จนกระทั่งการถือกำเนิดของ Philtration ได้เปิดเผยเรื่องราวอันลึกลับและน่าค้นหาของสถานที่แห่งนี้ให้คนภายนอกได้รู้ ซึ่งชื่อ Philtration” มาจากคำว่า “philtre” ซึ่งแปลว่า “ยาเสน่ห์” นั่นเอง
ด้านการออกแบบนั้น WVS Interior Design และ Production Camp PDC ได้สร้างบรรยากาศภายในร้านอย่างลงตัว เน้นเส้นสายโค้งมนที่เรียบง่าย ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นส่วนตัว บวกกับแสงไฟที่ส่องสว่างอย่างนุ่มนวล ชวนให้ผ่อนคลายจากความวุ่นวายของเมือง ด้วยประวัติความเก่าแก่ของสถานที่การตกแต่งด้วยสไตล์วินเทจช่วยส่งให้เราเข้าถึงบรรยากาศขลังๆ รวมไปถึงผนังอิฐเปลือยที่ดูเก่าแก่ และเฟอร์นิเจอร์ไม้สไตล์วินเทจที่ถูกขัดเงาจนเงางาม
หนึ่งในเมนูแนะนำคือ “Moh Meetini” เครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของร้านที่ผสมผสาน “อุทัยทิพย์หมอมี” ยาสมุนไพรชื่อดังของร้าน เข้ากับ Broker’s Gin และสมุนไพรไทยอย่างเม็ดยี่หร่า พริกไทยดำ และขมิ้น นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น “The Antique Cup of Tea” ค็อกเทลเสิร์ฟในกาชา บรรจุชาอู่หลงผสมกับ Roku Gin และมะนาว หรือ “The Merchant of Kasemsan 3” เครื่องดื่มที่ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ด้วยกลิ่นหอมของดอกมะลิ
นอกจากค็อกเทลสูตรพิเศษแล้ว ที่นี่ยังมีวงดนตรีแจ๊สมาเล่นให้ฟังกันแบบสดๆ และร่วมมือกับ The Showhopper แพลตฟอร์มด้านดนตรี จัดแสดงโชว์พิเศษที่ได้รับแรงบันดาลใจจากละครเพลงและการแสดงที่น่าสนใจพร้อมเสิร์ฟค็อกเทลลิมิเต็ดอิดิชั่นที่ครีเอทขึ้นมาเพื่อโชว์แต่ละครั้ง
นอกจากค็อกเทลสูตรพิเศษแล้ว ที่นี่ยังมีวงดนตรีแจ๊สมาเล่นให้ฟังกันแบบสดๆ และร่วมมือกับ The Showhopper แพลตฟอร์มด้านดนตรี จัดแสดงโชว์พิเศษที่ได้รับแรงบันดาลใจจากละครเพลงและการแสดงที่น่าสนใจพร้อมเสิร์ฟค็อกเทลลิมิเต็ดอิดิชั่นที่ครีเอทขึ้นมาเพื่อโชว์แต่ละครั้ง
Photos: Santawat Chienpradit
บ้านเลขที่ 2 ซอยเกษมสันต์ 3 ถนนพระราม 1
เปิดทุกวัน เวลา 18.00 – 24.00 น.
Tel: 092-282-9005
FB: philtrationbkk
IG: philtrationbkk
G.O.D ศาสนจักรแห่งค็อกเทล
G.O.D. หนึ่งในผลงานสร้างสรรค์ของของ YOLO GROUP ที่อยู่เบื้องหลังบาร์ชื่อดังในย่านนานา-เยาวราชอย่าง Teens of Thailand, Asia Today, TAX และ Independence โดย Godmother Studio ที่รับหน้าที่ออกแบบนำเสนอคอนเซ็ปต์ได้อย่างน่าสนใจ นั่นคือ “ศาสนจักรแห่งค็อกเทล” ที่ไม่ได้หมายถึงศาสนาในความหมายทางศาสนา แต่เป็นการเปรียบเทียบถึงความศักดิ์สิทธิ์ของเครื่องดื่มและกระบวนการสร้างสรรค์ค็อกเทลที่เป็นเอกลักษณ์ ชื่อ G.O.D. นี้ย่อมาจาก Genius On Drugs ไม่ใช่ God หรือพระเจ้าอย่างที่หลายคนเข้าใจ เป็นเพียงการเล่นล้อทางภาษาและการรับรู้ของคนทั่วไปเช่นเดียวกับการออกแบบตกแต่งอย่างพิถีพิถันเพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ
เริ่มตั้งแต่หน้าร้านที่โดดเด่นด้วยปลักขิกไซส์เขื่อง ฟาซาดที่ตกแต่งด้วยผนังบล็อกแก้วสีสันสดใสที่นำมาจัดเรียงคล้ายกระจกสีในวิหารโบราณ เมื่อก้าวเข้ามาภายใน จะพบกับการตกแต่งที่ผสมผสานความดิบของโครงสร้างอาคารเดิมกับความหรูหราของวัสดุตกแต่งได้อย่างลงตัว ตัวตึกที่เป็นอาคารเก่าใจกลางย่านเก่าแก่ของกรุงเทพฯ เป็นโจทย์ที่ท้าทายทีมงานออกแบบอย่างมาก แต่พวกเขาก็สามารถนำเอาข้อจำกัดมาสร้างสรรค์เป็นจุดเด่นได้อย่างน่าทึ่ง โดยการรักษาโครงสร้างเดิมของอาคารเอาไว้ และเพิ่มองค์ประกอบใหม่ๆ เข้าไปอย่างกลมกลืน เช่น การขยายพื้นที่ชั้นบนเพื่อให้รู้สึกโปร่งโล่ง โถงกลางที่มีผนังโค้งเปิดเผยโครงสร้างดิบๆ ของอาคาร ให้กลิ่นอายแบบ Brutalism ผนังปูนเปลือย เหล็กเส้นโครงสร้าง อวดร่องรอยของการทุบ ทำให้รู้สึกถึงความแข็งแกร่งและความเป็นเอกลักษณ์ของสถานที่ รวมไปถึงการให้แสงอุ่นสลัวเหมือนอยู่ในโบสถ์วิหาร
นอกจากการตกแต่งที่สวยงามแล้ว G.O.D. ยังมีการแสดงดนตรีสด โดยเฉพาะเปียโนให้ฟังเพลินๆ แกล้มค็อกเทลที่ครีเอทขึ้นมาให้แพริ่งกับอาหารแบบพอดีคำ เพื่อให้ได้รสชาติและประสบการณ์ในการดื่มที่แปลกใหม่ไม่แพ้ตัวดีไซน์และบรรยากาศในร้าน เป็นสถานที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเครื่องดื่มและการออกแบบ
Story: Wachirapanee Markdee