Art & Lifestyle
Shophouse Chic
จากตึกแถวเก่าแก่ในย่านเมืองเก่าของพระนครที่เคยทรุดโทรมและเงียบเหงา วันนี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ อดีตอาคารพาณิชย์สไตล์จีนหรือที่คนไทยเรียกติดปากกันอย่างคุ้นเคยว่า “ห้องแถว” ที่เคยเป็นศูนย์กลางการค้าและชุมชนมายาวนาน กำลังได้รับการพลิกโฉมครั้งใหญ่ เมื่อผนังเก่าที่เคยซีดเซียวภายในตึกที่มืดมิดถูกปรับปรุงใหม่ กลายเป็นคาเฟ่ที่เต็มไปด้วยผู้คน บาร์เก๋ๆ ที่เสิร์ฟเครื่องดื่มสุดสร้างสรรค์ แกลเลอรี่ร่วมสมัยที่นำเสนอศิลปะน่าสนใจ และอื่นๆ อีกมากมายหลากหลายฟังก์ชัน แต่ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์ดั้งเดิมและรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ โดยผสมผสานความทันสมัยได้อย่างลงตัว สะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณที่ไม่หยุดนิ่งของกรุงเทพฯ
ทรงวาด: จากถนนเครื่องเทศสู่ย่านฮิปน้องใหม่
หลายปีก่อนทรงวาดคงไม่ได้อยู่ในแผนที่ของย่านฮิปในกรุงเทพฯ ด้วยความที่เป็นย่านค้าส่งซัพพลายเออร์เครื่องเทศเครื่องปรุงอาหารนานามาแต่โบราณ ใครจะคาดว่าอยู่มาวันหนึ่งจะบูมขึ้นมาจนกลายเป็นย่านที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากที่สุดย่านหนึ่งของกรุงเทพฯ อย่างทุกวันนี้ ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของผู้ประกอบการที่มีทั้งกลุ่มธุรกิจที่เป็นคนนอกพื้นที่ซึ่งเล็งเห็นความน่าจะเป็นไปได้ในการก่อกำเนิดธุรกิจใหม่ โดยอาศัยเสน่ห์จากตึกแถวอาคารพาณิชย์เก่าที่ถูกทิ้งร้างเนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยและการเปลี่ยนผ่านผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ ในขณะเดียวกันก็มีบางส่วนที่เป็นรุ่นลูกรุ่นหลานของคนในพื้นที่ซึ่งอาจจะไม่ได้ดำเนินกิจการต่อจากบรรพบุรุษแล้ว แต่เห็นดีเห็นงามในการที่จะพลิกฟื้นให้ตึกแถวเก่าๆ กลับมามีลมหายใจอีกครั้งในรูปแบบและประโยชน์ใช้สอยที่ต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก และล่าสุดกับบาร์เล็กๆ ที่สร้าง Vibe แบบใหม่ให้กับถนนสายเครื่องเทศในอดีตให้กลับมาเผ็ดร้อนอีกครั้ง
Song Viet At Songwat
จัดว่าเป็นร้านในกลุ่มน้องใหม่ของย่านทรงวาด เปิดตัวได้ไม่นานก็ติดอันดับฮ็อตฮิตด้วยการจำลองบรรยากาศสตรีทฟู้ดของเวียดนามมาไว้ในตึกแถวกลางกรุงเทพฯ ด้วยโต๊ะเล็กและเก้าอี้เตี้ยแบบร้านข้างทางที่ถ้าใครได้เคยไปเที่ยวเวียดนามมาแล้วก็คงนึกภาพตามออก นอกจากบรรยากาศที่ตกแต่งแบบเวียดนามจ๋าแล้ว เมนูที่เสิร์ฟในร้านก็เช่นเดียวกัน มีตั้งแต่ ไข่กระทะ บั๋นหมี่หรือขนมปังบาแก็ตเวียดนามที่เหมาะสำหรับบรั้นช์มื้อสายๆ เฝอสำหรับมื้อเที่ยง หรือเมนูคุ้นปากคุ้นลิ้นคนไทยอื่นๆ ส่วนของหวานอย่างไอศครีมบั๋นหมี่ที่หน้าตาคล้ายไอศครีมขนมปังรถเข็น แต่พิเศษตรงที่ใช้ขนมปังบาแก็ตอบใหม่ทุกวันแทนขนมปังนิ่มๆ แบบเคยๆ ก็น่าสนใจไม่น้อย
ในส่วนของอินทีเรีย ทรงเวียตใช้ประโยชน์จากตึกเก่าเช่นเดียวกับร้านอื่นๆ ส่วนใหญ่ในย่านนี้ ยังคงโครงสร้างเดิมที่เปิดเปลือยให้เห็นรายละเอียดของเสาและคานที่เสริมแรงด้วยโครงสร้างเหล็กที่ถูกใส่เข้าไปเพิ่ม เช่นเดียวกับผนังที่ยังคงร่องรอยของกาลเวลาไว้บางส่วน หน้าร้านใช้สีสดจัดจ้านตัดฉับเรียกสายตาและลามเลียไปถึงพื้นที่ภายในร้าน มีสีเขียวเป็นแกน ตัดด้วยแดงและเหลือง พร้อมหยอดรายละเอียดของประดับจุกจิก รวมไปถึงงานกราฟิกและ Typography ที่ให้กลิ่นอายแบบเวียดนาม หน้าร้านมีจักรยานบรรทุกดอกไม้ตามอย่างรถจักรยานขายดอกไม้ที่ยังคงพบเห็นได้ตามท้องถนนในเวียดนาม ส่วนหลังร้านมีห้องไพรเวท รวมไปถึงพื้นที่ชั้นสองที่ยังไม่ได้ให้บริการ แต่สงวนไว้สำหรับกิจกรรมพิเศษ ซึ่งล่าสุดคุณพลอย จริยเวช มาเปิดตัวหนังสือเล่มล่าสุดของเธอที่ชื่อ Old Town Vacanza: Bangkok พร้อมเปิดห้างป๊อปอัพ Chanasson & Co ที่นำสินค้าแบบ Selected Items มาเสนอในส่วนนี้
Agar Raga
ในขณะที่หลายร้านในย่านทรงวาดเลือกที่จะปรับปรุงตึกแถวแถบนี้โดยใส่ความร่วมสมัยและไอเดียทวิสต์ต่างๆ แต่อการากา เลือกที่จะย้อนกลับไปในยุคสมัยที่เป็นจุดกำเนิดของตัวอาคาร คือการปรับปรุงด้วยการใส่สไตล์และรายละเอียดของตึกชิโน-โปรตุกีสให้คืนชีพอีกครั้ง หากแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือการปรับเปลี่ยนรูปแบบของธุรกิจและสินค้าในร้านที่เป็นการต่อยอดจากรากเหง้าตั้งแต่สามรุ่นที่แล้ว คือรุ่นของอากงที่ทำธุรกิจ ‘วุ้นผงตราโทรศัพท์’ ซึ่งถือกำเนิดบนถนนทรงวาดแห่งนี้ และถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจของตระกูล กลายมาเป็นร้านอาหารและคาเฟ่ที่ทุกจานในเมนูทั้งคาวและหวานล้วนทำมาจากวุ้นแทบทั้งสิ้น โดยมาในรูปแบบของอาหารไทย-จีน ที่ผสมผสานระหว่างรสชาติแบบดั้งเดิมและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ แบบฟิวชั่น
วุ้นของอการากาไม่ได้อยู่แค่บนจาน แต่รวมไปถึงโลโก้ที่ตัวดีไซน์เองนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากความงามในแบบตะวันออกที่ผสมผสานกับตะวันตกตามอย่างชิโน-โปรตุกีส ดีไซน์เอาไว้ในรูปแบบการจับตัวเป็นก้อนของวุ้นที่มีความคล้ายกับสแตมป์อากรแบบจีนจนกลายเป็นโลโก้ร้านที่ติดอยู่หน้าตึก ซึ่งคำว่า AGAR (อากา) แปลว่า วุ้น เอามารวมกับ RAGA (รากา) ซึ่งเป็นคำเดียวกันที่เขียนแบบกลับหลังนั่นเอง
F.V
หากเดินผ่านหน้าร้านเอฟวี หรือมองแค่ผาดๆ อาจจะนึกไม่ถึงว่าห้องแถวหลังประตูกระจกบานนี้จะเป็นอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างแต่ทว่ากลมกลืนกับร้านรวงและตึกแถวในละแวกนี้ เมื่อเปิดประตูเข้ามาในร้านที่เราคิดว่าเป็นแค่ร้านกาแฟทั่วไปสักร้าน แต่แอบผงะเล็กน้อยและตะลึงเบาๆ เมื่อพบว่ามีบ้านไม้ทรงไทยโบราณซ้อนอยู่ภายในร้านอีกที เรือนไม้งานช่างฝีมือพื้นบ้านอีสานที่ประกอบขึ้นด้วยมือทั้งหลังโดยไม่ใช้น็อตหรือตะปูใดๆ ถูกยกมาจากมุกดาหารมาตั้งอยู่กลางทรงวาดแบบไม่เคอะเขิน รวมไปถึงการตกแต่งที่เต็มไปด้วยรายละเอียดซึ่งหากจะฟันธงลงไปว่าเป็นสไตล์ไหนก็คงพูดไม่ได้เต็มปาก เพราะมีทั้งลูกเล่นแบบโมเดิร์น การใช้กระจกสะท้อนมิติที่ทั้งลวงและพรางสเปซจริง ผนังปูนเปลือยและบันไดเหล็กแบบอินตัสเตรียล เฟอร์นิเจอร์วินเทจ Mid-Century ที่วางรวมกับข้าวของพื้นบ้านอีสาน ก็คงมีคำกลางๆ อย่าง Eclectic เท่านั้นที่จะพออธิบายขยายความสไตล์ที่หลากหลายภายในร้าน
เรือนไม้งานช่างฝีมือพื้นบ้านอีสานที่ประกอบขึ้นด้วยมือทั้งหลังโดยไม่ใช้น็อตหรือตะปูใดๆ ถูกยกมาจากมุกดาหารมาตั้งอยู่กลางทรงวาดแบบไม่เคอะเขิน รวมไปถึงการตกแต่งที่เต็มไปด้วยรายละเอียดซึ่งหากจะฟันธงลงไปว่าเป็นสไตล์ไหนก็คงพูดไม่ได้เต็มปาก เพราะมีทั้งลูกเล่นแบบโมเดิร์น การใช้กระจกสะท้อนมิติที่ทั้งลวงและพรางสเปซจริง ผนังปูนเปลือยและบันไดเหล็กแบบอินตัสเตรียล เฟอร์นิเจอร์วินเทจ Mid-Century ที่วางรวมกับข้าวของพื้นบ้านอีสาน ก็คงมีคำกลางๆ อย่าง Eclectic เท่านั้นที่จะพออธิบายขยายความสไตล์ที่หลากหลายภายในร้าน
นอกจากงานอินทีเรียที่น่าสนใจแล้ว อีกสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากันนั่นคือ สินค้าและอาหารในร้านที่มาจากชุมชนในชนบทหลากหลายที่ทั่วไทย เป็นของพื้นบ้านที่หาได้ยากในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะกลางกรุงเทพฯ แบบนี้ หลายอย่างคุ้นเคยคุ้นตา หลายอย่างไม่เคยทราบมาก่อน หลายอย่างไม่เคยคิดว่าจะกินได้ เช่น ชาไมยราบ และชาอื่นๆ ที่ได้จากพืชไม่พึงประสงค์ ที่เราเรียกกันว่า ‘วัชพืช’ นอกจากนี้ภายในร้านยังเป็นที่จัดแสดงงานศิลปะของศิลปินไทยและเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ และกิจกรรมเพื่อชุมชนที่น่าสนับสนุน
IG: fv_bkk
CÉRÉMONIALE Matcha Atelier
ช่วงปีที่ผ่านมา กระแสการดื่มมัทฉะถือว่ามาแรงมากในสายของคนที่ชื่นชอบในการดื่มชาที่รักสุขภาพ ความรื่นรมย์ที่แสนลุ่มลึกนี้มีหรือที่จะมาไม่ถึงย่านฮิปแห่งนี้ Cérémoniale Matcha Atelier คือร้านชามัทฉะที่ซ่อนตัวอยู่บนชั้นสองของตึกเก่าหลังหนึ่ง ซึ่งไม่มีหน้าร้านใดๆ นอกจากปะตูเหล็กเก่าๆ และม่านผ้าสีดำที่มีชื่อร้านอยู่ที่ชายผ้า เมื่อชะโงกหน้าเข้าไปดูจึงจะเห็นบันไดทางขึ้นทอดตัวยาวสู่ชั้นสอง ที่ซึ่งเป็นที่ตั้งจริงๆ ของร้านน้ำชาที่เน้นชามัทฉะที่ใช้ในพิธีชงชา หรือที่เรียกกันว่า Ceremonial Tea
ฟากหนึ่งคือจุดที่รับออเดอร์ซึ่งซ่อนตัวอยู่ฝั่งด้านในมุมมืด มีเชือกเส้นใหญ่แบบที่เคยเห็นในวัดญี่ปุ่นคั่นกลางห้อง อีกฟากซึ่งเป็นฝั่งที่ติดกับถนนเป็นห้องปรับอากาศสำหรับให้ลูกค้าได้นั่งดื่มชากัน ดูเผินๆ เหมือนกับจะเป็นซอกระหว่างห้องแถวสองห้องที่มีบันไดและหลังคาคุ้มแดดฝนมากกว่าจะเป็นห้องหับอย่างร้านอื่น แต่ความลึกลับและความแคบนี้กลับกลายเป็นความแตกต่างที่สร้างเสน่ห์ให้กับร้านไม่แพ้ชามัทฉะรสละมุนหอมกรุ่นที่เสิร์ฟมาในแก้ว
Abby Nails Salon/ Hostel Urby/ Woodbrook/ Barbon/ Riverfront Deck
ใครจะคิดตึกแถวสีเขียวขนาดหนึ่งคูหาขนาดกระทัดรัด จะเป็นสถานที่ที่รวมไลฟ์สไตล์หลายหลากเอามาไว้ในที่เดียวแบบครบวงจร ตั้งแต่ชั้นล่างสุดที่เป็นร้านทำเล็บ Abby Nails Salon ที่ตกแต่งด้วยบรรยากาศย้อนยุคสุดโคซี่ เมื่อเดินผ่านส่วนนี้ตามทางเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน ก็จะได้พบกับ Hostel Urby ซึ่งถือว่าเป็นโฮสเทลแรกๆในย่านนี้ กับบรรยากาศย้อนยุคหน่อยๆ ที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์และข้าวของสไตล์ Mid-Century
เช่นเดียวกับ Barbon บาร์ที่อยู่ถัดขึ้นไปอีกชั้น ที่ยังคงสไตล์และโครงสีต่อเนื่องกันมา ทั้งสีเขียว เทา ดำ และไม้สีเข้ม ติดกันคือ Woodbrook ร้านกาแฟที่ห่างกันเพียงแค่ฝาผนังกั้น มีประตูเปิดถึงกันได้ และเชื่อมต่อไปยังระเบียงนอกร้านซึ่งเป็นส่วนที่เรียกว่า Riverfront Deck สำหรับไว้นั่งชิลล์ชมวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยา เวลาแดดร่มลมตกช่วงเย็นๆ จะสวยเป็นพิเศษ
IG: abby.nailssalon
FB: Hostel URBY
IG: hostelurby
FB: BARBON
IG: barbonbkk
FB: woodbrookbkk
IG: woodbrookbkk
Copenn.
แค่ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้ทรงวาดเป็นย่านที่ฮิปที่สุดในขณะนี้ แต่การมาถึงของร้านอย่าง Copenn. ดูเหมือนจะมาช่วยเติมความสมบูรณ์ให้กับทรงวาด ซึ่งถึงแม้หลายคนอาจจะมองว่าเป็นร้านขายเครื่องหอม และทางแบรนด์เองบอกว่าเป็น pop-up store สาขาทรงวาด แต่เรามองว่า Copenn. เป็นบูทีคที่เหมือนกับ concept store ที่ลูกค้าจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ในทุกมิติ นอกเหนือจากแค่การมาเลือกซื้อเครื่องหอม
เริ่มตั้งแต่ฟาซาดเท็กซ์เจอร์ปูนสีตุ่น วินโดว์ดิสเพลย์แบบมินิมัลที่ถ้าไม่บอกหรือไม่ได้มาเดินด้วยตัวเองก็คงนึกไม่ออกว่าที่นี่คือทรงวาด มู้ดและโทนของดีไซน์ถูกส่งผ่านจากหน้าร้านเข้าสู่ภายในอย่างต่อเนื่องด้วยเส้นสายเรียบกริบ วัสดุอย่างหิน ปูน สเตนเลส และเนื้อไม้เผาไฟที่ถูกจัดวางในสัดส่วนที่เหมาะเจาะ บวกกับกลิ่นหอม การออกแบบแสง สร้างบรรยากาศแสนสงบ เยือกเย็นแต่ไม่เย็นยะเยือก รวมไปถึงรอยยิ้มและบทสนทนาที่เป็นมิตรจากพนักงานในร้าน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ข้าวของติดไม้ติดมือกลับไป แต่ได้ความประทับใจจากประสบการณ์กลับบ้านแน่นอน
WEB: copenn.com
FB: Copenn.
IG: copenn.official
The National Bar
บาร์แห่งชาติที่มาเติมสีสันและความคึกคักในยามค่ำคืนให้กับทรงวาด โดยทีมงาน Dudesweet เจ้าแห่งปาร์ตี้อินดี้ที่หันมาทำบาร์ของตัวเองและไปได้สวยกับบาร์แรกในชื่อ มิจฉาชีพ (Mischa Cheap) จนมาถึงบาร์ที่สองนี้ที่ย้ายโลเคชั่นจากถนนข้าวสารมาอาละวาดที่ทรงวาดในชื่อ The National Bar
Dudesweet + เพลงอินดี้ + ตึกแถวเก่าในทรงวาด อาจจะฟังดูแปลกๆ แต่ The National Bar ก็หาคำตอบให้กับสมการนี้ได้อย่างลงตัว ว่ากันตั้งแต่เรื่องดีไซน์ที่ใช้ประโยชน์จากห้องแถวคูหาเดียวที่มีความแคบแต่ลึก โดยแบ่งเป็นโซนๆ เริ่มจากโซนแรกที่เป็นบาร์เครื่องดื่มและบูธดีเจซึ่งตั้งอยู่คนระฟากกัน จัดวางโต๊ะเก้าอี้ขนาดกระทัดรัดไว้ระหว่างกลาง มีช่องดับเพลิงที่ถูกแปลงเป็นที่นั่งแบบเอ็กซ์คลูซีฟด้วยการทำเบาะนั่งยัดเข้าไป พร้อมประดับด้านในด้วยการกรุกระจกโมเสกสีแดงสด ซึ่งเทคนิคกระจกสีโมเสกแบบที่เราเห็นตามวัดไทยแบบนี้ปรากฏอยู่ในรายละเอียดการตกแต่งผนังอีกฝั่ง รวมไปถึงผนังโซนด้านในสุดที่เหมือนจิตรกรรมฝาผนังซึ่งถูกนำมาตัดทอนและดัดแปลงให้โมเดิร์นขึ้นพร้อมใส่อารมณ์ขันซื่อๆ แบบ Naive ตามสไตล์ของ Dudesweet เช่นเดียวกับตัวการ์ตูนหน้าร้านขนาดเท่าคนจริง ซึ่งเป็นคาแรคเตอร์ที่ โน้ต พงษ์สรวง แห่ง Dudesweet เคยวาดเอาไว้ในนิตยสาร MTV Trax ในช่วงปี 2000s ในรายละเอียดทุกๆ ส่วนของร้านให้บรรยากาศอินดี้ย้อนยุคสุดคิทช์ (Kitsch) เช่นเดียวกับดนตรีจากเพลย์ลิสต์และดีเจของ Dudesweet อันเป็นซิกเนเจอร์ซึ่งเป็นที่จดจำของวัยรุ่นชาวร็อคทั้งหลาย
จัดวางโต๊ะเก้าอี้ขนาดกระทัดรัดไว้ระหว่างกลาง มีช่องดับเพลิงที่ถูกแปลงเป็นที่นั่งแบบเอ็กซ์คลูซีฟด้วยการทำเบาะนั่งยัดเข้าไป พร้อมประดับด้านในด้วยการกรุกระจกโมเสกสีแดงสด ซึ่งเทคนิคกระจกสีโมเสกแบบที่เราเห็นตามวัดไทยแบบนี้ปรากฏอยู่ในรายละเอียดการตกแต่งผนังอีกฝั่ง รวมไปถึงผนังโซนด้านในสุดที่เหมือนจิตรกรรมฝาผนังซึ่งถูกนำมาตัดทอนและดัดแปลงให้โมเดิร์นขึ้นพร้อมใส่อารมณ์ขันซื่อๆ แบบ Naive ตามสไตล์ของ Dudesweet เช่นเดียวกับตัวการ์ตูนหน้าร้านขนาดเท่าคนจริง ซึ่งเป็นคาแรคเตอร์ที่ โน้ต พงษ์สรวง แห่ง Dudesweet เคยวาดเอาไว้ในนิตยสาร MTV Trax ในช่วงปี 2000s ในรายละเอียดทุกๆ ส่วนของร้านให้บรรยากาศอินดี้ย้อนยุคสุดคิทช์ (Kitsch) เช่นเดียวกับดนตรีจากเพลย์ลิสต์และดีเจของ Dudesweet อันเป็นซิกเนเจอร์ซึ่งเป็นที่จดจำของวัยรุ่นชาวร็อคทั้งหลาย
FB: nationalbangkok
IG: nationalbangkok
ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของตัวอย่างการนำตึกแถวเก่าในย่านทรงวาดมาแปลงโฉมและชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ ยังมีอีกหลายแห่งที่ตกแต่งอย่างมีสไตล์และมีคอนเซ็ปต์ของสินค้าและบริการที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นร้านในเครือ “อิส_แฮพ_เพ่น” ซึ่งประกอบไปด้วยร้านอาหาร อี-กา Lab และ อี-กา Luv SEAFOOD , ร้านเค้ก A Pink Rabbit and Bob และ Road of Cinnamon ร้านขายของที่ระลึกที่รวบรวมงานฝีมือจากทั่วประเทศไทย ส่วนสายแฟชั่น ก็มีร้าน Renim Project แบรนด์สตรีทแวร์จากดีไซเนอร์ไฟแรงของไทยที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวในเรื่องของการนำยีนส์เก่ากลับมาเข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่ ซึ่งโชวร์รูมตั้งอยู่เกือบสุดของถนนช่วงที่จะต่อเข้าไปสู่ตลาดน้อย ย่านฮิปรุ่นพี่ที่แจ้งเกิดมาก่อนหน้านี้ เรียกได้ว่ามาเดินที่ทรงวาดก็จะได้สัมผัสกับประสบการณ์ในแทบจะทุกรูปแบบ
เจริญกรุง: เสน่ห์เมืองเก่ากับคอมมูนิตี้ศิลปะและไลฟ์สไตล์
ย่านถนนเจริญกรุงน่าจะเป็นย่านแรกๆ ที่มีการนำตึกแถวเก่ามาแปลงโฉมและกลายเป็นย่านศูนย์กลางของศิลปะและงานสร้างสรรค์ของกรุงเทพฯ ถึงขึ้นได้ชื่อว่าเป็น Design District ของไทย กิจกรรมสร้างสรรค์สำคัญๆ ของกรุงเทพฯ มักจะจัดขึ้นโดยมีย่านนี้เป็นศูนย์กลาง นอกจากนี้ยังมีตึกแถวที่ได้รับการรีโนเวตให้กลายเป็นร้านค้า โฮสเทล และร้านอาหารระดับมิชลินกระจายตัวกันอยู่ตามสองฝั่งถนน แต่มีสองที่ที่ QoQoon อยากนำมาแนะนำให้ทำความรู้จักกันอีกครั้ง
Charoen43 Art & Eatery
จากเวิ้งที่เป็นกลุ่มของตึกแถวเก่า ถูกปรับเปลี่ยนแปลงโฉมให้กลายมาเป็นกลุ่มของพื้นที่ที่ไม่ใช่เพียงแค่ร้านค้าและคาเฟ่เก๋ๆ แต่เป็นพื้นแห่งความสัมพันธ์และการสร้างสรรค์ที่เปิดตัวมาได้พักใหญ่ แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าโครงการ Charoen43 Art & Eatery มีอะไรมากกว่าแค่ที่เห็นจากริมถนนและบนทางเท้าของเจริญกรุง และหลายคนอาจจะเดินผ่านไปโดยที่ไม่ทราบว่ามีสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยซุกซ่อนอยู่ด้านหลัง
Charoen43 Art & Eatery ประกอบไปด้วยห้องแถวสองชั้น ที่ซ้อนกันอยู่ โดยมีตรอกเล็กๆ ข้างตึก ที่นำเราจากตึกแถวกลุ่มแรกที่อยู่ริมถนน เข้าสู่ตึกแถวอีกกลุ่มที่อยู่ด้านหลัง มีพื้นที่ใช้สอยร่วมที่เหมือนกับคอร์ยาทตรงกลาง ทำหน้าที่เป็นหลังบ้านของตึกแถวหน้า และเป็นหน้าบ้านของตึกแถวหลัง แถวหน้าประกอบไปด้วย Bicycle Boys Clubhouse ร้านจักรยานที่ไม่ใช่ร้านขายจักรยานทั่วไป แต่เป็นคอมมูนิตี้สำหรับนักปั่นผู้หลงใหลในยานพาหนะสองล้อ นอกจากจะขายสินค้าที่เกี่ยวกับจักรยานแล้ว ยังเป็นคาเฟ่เอาไว้ให้นักปั่นได้มานั่งชิลล์พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันไปด้วยในตัวภายใต้การตกแต่งกลิ่นอายอินดัสเตรียลล็อฟต์ที่มีดีเทลกราฟิตี้อยู่หน้าร้าน
ต่างจากร้านถัดมาที่โปร่งโล่งสดใสด้วยผนังสีขาว ใส่รายละเอียดและสัมผัสจจากไม้อบอุ่นสไตล์นอร์ดิกของ Madi Café หรือชื่อไทยๆ ว่า “มาดิ” ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนชวนเพื่อนมานั่งพักผ่อนพูดคุยในบรรยากาศสบายๆ ชั้นล่างเป็นคาเฟ่และไวน์บาร์ ส่วนชั้นบนมีพื้นที่สำหรับจัดแสดงผลงานศิลปะเป็นเหมือนแกลเลอรี่เล็กๆ น่ารัก มองผ่านโค้งกระจกด้านหลังลงมาเห็นคอร์ทยาร์ดส่วนกลาง ถัดมาเป็น REN Cafe and Goods คาเฟ่ที่โดดเด่นในเรื่องของชามัทฉะและการตกแต่งร้านในโทนสีเขียวสดชื่นสมกับเป็นคาเฟ่ที่เสิร์ฟชาเขียว รวมไปถึงสีเขียวจากต้นไม้ที่แทรกตัวอยู่ตามจุดต่างๆทั้งภายนอกและภายในร้าน เช่นเดียวกับมาดิ Ren มุมผ่อนคลายริมหน้าต่างด้านหลังที่มองเห็นต้นไม้สีเขียวในคอร์ทยาร์ด
ถัดมาเป็น REN Cafe and Goods คาเฟ่ที่โดดเด่นในเรื่องของชามัทฉะและการตกแต่งร้านในโทนสีเขียวสดชื่นสมกับเป็นคาเฟ่ที่เสิร์ฟชาเขียว รวมไปถึงสีเขียวจากต้นไม้ที่แทรกตัวอยู่ตามจุดต่างๆทั้งภายนอกและภายในร้าน เช่นเดียวกับมาดิ Ren มุมผ่อนคลายริมหน้าต่างด้านหลังที่มองเห็นต้นไม้สีเขียวในคอร์ทยาร์ด
ส่วนห้องหัวมุมคือ Small Dinner Club ร้านไฟน์ไดนนิ่งลึกลับที่ซ่อนตัวอยู่หลังผนังปูนสีตุ่น ที่ต้องจองล่วงหน้าผ่านระบบของทางร้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมชมและชิมอาหารไทยสูตรพิเศษจากออสเตรเลีย
ข้างๆ Small Dinner Club มีตรอกเล็กๆ มีป้ายโครงการ Charoen43 ติดอยู่ด้านหน้า ชะโงกหน้าไปดูจะพบกับต้นไม้ร่มเขียวครึ้มและตึกแถวอีกตึกด้านหลัง ร้านแรกคือ Bangkok Mojo ที่มีหน้ากว้างขนาด 2 คูหา แม้จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างและรายละเอียดการตกแต่งมากมายนัก แต่สีเขียว-เหลืองสดใสก็แตะตา ชวนให้เข้าไปค้นหาภายในบาร์ที่จัดไว้รองรับนักดนตรีที่หาเวทีแสดงฝีมือไม่ได้ง่ายๆ อย่างดนตรีคลาสสิก และเพลงที่ไม่ได้อยู่ในกระแสหลักสักเท่าไหร่
ถัดมาเป็นร้านแผ่นเสียง Entertainment Project ที่ตกแต่งด้วยสีสดไม่แพ้กันแต่เพิ่มความร้อนแรงยิ่งขึ้นด้วยการใช้คู่สีแดง-ฟ้า ภายในร้านจำหน่ายแผ่นเสียงไวนีลที่คัดสรรมาแล้ว จึงไม่แปลกที่เราจะเจอแผ่นอย่าง Tidal ของ Fiona Apple ที่นี่ นอกจากนี้ยังเป็นทั้งบาร์และคาเฟ่ไปด้วยในตัว มีบันไดสีแดงสดด้านหลังทอดตัวขึ้นไปสู่ชั้นสองซึ่งเป็นสถานีวิทยุของ bangkokcommunityradio.com หากวันไหนที่มีการออกอากาศ ก็สามารถเข้าไปนั่งชมการจัดรายการแบบสดๆได้
จากเรื่องของเสียงเพลง เราก็มาต่อกันที่เรื่องของแฟชั่นในห้องข้างๆ ที่ C43 : Fashion and Inspiration Space ร้านขายเสื้อผ้า ของใช้ ของที่ระลึก และของสะสมวินเทจแบบมัลติแบรนด์ของคนไทย ภายใต้รายละเอียดของการตกแต่งที่ให้บรรยากาศย้อนยุคด้วยไม้เก่าและของวินเทจ โดยจัดวางสินค้าของแบรนด์ Good Mixer, GAS, GAS Vintage, KERA, Treasure House, Beehive, One’s best boy, Sumo vintage, Marsi, Deck me และ Botanica ก่อนที่เราจะไปจบที่ร้านสุดท้าย Cutie Is Baking ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของขนมอบสมชื่อ
Charoen43 Art & Eatery ให้ความรู้สึกของการเป็นคอมมูนิตี้สมชื่อ ด้วยความน่ารัก เรียบง่าย เป็นกันเอง และถ้อยทีถ้อยอาศัยอย่างที่สังคมไทยควรจะเป็น ถ้าจะให้นิยามเราขอเรียกที่แห่งนี้ว่า old soul with new spirit แห่งเจริญกรุง
FB: charoen43
IG: ren.bkk
FB: REN-Cafe-and-Goods-100095516113058
WEB: bangkokmojo.com
WEB: smalldinnerclub.com
IG: sdc.bkk
IG: madi_bkk
FB: madibangkok
WEB: bicyceboys.com
FB: hellobicycleboys
IG: entproject.bkk
FB: Entertainmentprojectbkk
IG: chutieisbaking
FB: chutieisbaking
Central The Original Store
ตึกแถวเก่าที่เราจะพูดถึงต่อไปนี้ค่อนข้างจะแปลกกว่าตึกแถวที่ผ่านๆ มา เพราะส่วนใหญ่จะเป็นบ้านหรืออาคารพาณิชย์คูหาเล็กๆ หรือตึกเก่าแก่ยุคชิโนโปรตุกีส ในขณะที่ตึกนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีก เพราะเคยเป็นต้นกำเนิดของห้างดังระดับยักษ์ใหญ่ของวงการห้างสรรพสินค้าไทย นั่นคือตึกเซ็นทรัลเดิม ที่วันนี้กลายสภาพจากห้างสรรพสินค้าเป็นพื้นที่แห่งศิลปะและความสร้างสรรค์อีกแห่งในย่านเจริญกรุง
จากจุดเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2493 ห้างเซ็นทรัลอันมีที่มาของชื่อจากคำว่า “จงยาง” 中央 ที่แปลว่า “ศูนย์กลาง” ถือกำเนิดขึ้นบนอาคารเลขที่ 1266 ถนนเจริญกรุงแห่งนี้ ที่นี่จึงเป็นเหมือนต้นกำเนิดและมรดกล้ำค่าของกลุ่มเซ็นทรัล การเปลี่ยนแปลงอาคารแห่งนี้จึงเป็นมากกว่าแค่ผลประโยชน์ทางด้านธุกิจการค้า
จากแรงบันดาลใจในการนำเข้านิตยสารสิ่งพิมพ์จากต่างประเทศในยุคแรก จึงนำมาสู่การเปิดเป็นห้องสมุดที่เสน่ห์ของสิ่งพิมพ์ในอดีตอันรุ่งเรืองถูกผสานเข้ากับเทคโนโยลีของโลกดิจิตัลยุคปัจจุบัน กลายเป็นพื้นที่สำหรับให้ทุกคนได้เข้ามาค้นค้าหาความรู้และเสพงานศิลป์และดีไซน์ไปพร้อมกัน ตัวอาคารเองทำหน้าที่เป็นเหมือน case study ของการปรับปรุงอาคารตึกแถวเก่าให้มีความทันสมัย แต่ไม่เอะอะจนกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมภายใต้ทัศนียภาพแวดล้อมของเมืองเก่า ทั้งงานสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายในสงบเสงี่ยมเรียบร้อย แต่มีความกริบทุกตารางนิ้ว
จากแรงบันดาลใจในการนำเข้านิตยสารสิ่งพิมพ์จากต่างประเทศในยุคแรก จึงนำมาสู่การเปิดเป็นห้องสมุดที่เสน่ห์ของสิ่งพิมพ์ในอดีตอันรุ่งเรืองถูกผสานเข้ากับเทคโนโยลีของโลกดิจิตัลยุคปัจจุบัน กลายเป็นพื้นที่สำหรับให้ทุกคนได้เข้ามาค้นค้าหาความรู้และเสพงานศิลป์และดีไซน์ไปพร้อมกัน ตัวอาคารเองทำหน้าที่เป็นเหมือน case study ของการปรับปรุงอาคารตึกแถวเก่าให้มีความทันสมัย แต่ไม่เอะอะจนกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมภายใต้ทัศนียภาพแวดล้อมของเมืองเก่า ทั้งงานสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายในสงบเสงี่ยมเรียบร้อย แต่มีความกริบทุกตารางนิ้ว
ภายในตึกอิฐสีส้มที่เรียงตัวเต็มฟาซาด จัดสรรพื้นที่ใช้สอยแบ่งออกไปตามพื้นที่แต่ละชั้น โดยในชั้นที่ 1 เป็นส่วนของคาเฟ่ที่จัดแสดงสินค้าปลีกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ หรือสินค้าดีไซน์ที่มีกิมมิกน่าสนใจ สอดแทรกเรื่องราวในอดีตของกลุ่มเซ็นทรัลและประวัติศาสตร์ย่านเจริญกรุง มีประตูเชื่อมต่อไปถึง Siwilai Sound Club ที่อยู่ด้านหลัง ชั้นสองคือห้องสมุด The Kolophon Retail Library ห้องสมุดที่รวบรวมคลังความรู้เกี่ยวกับการค้าปลีกซึ่งเป็นจุดเด่นของเซ็นทรัล มีการให้บริการระบบสมาชิกเหมือนห้องสมุดประชาชนในอดีต และแบบ Pay Per Use ชั้น 3 และชั้น 4 เป็นพื้นที่สำหรับจัดนิทรรศการหรืออีเว้นต์ต่างๆ ภายใต้สเปซสวยๆ ที่มีช่องหน้าต่างกระจกบานใหญ่มองเห็นวิวเมืองเก่าด้านนอก ส่วนชั้นบนสุดคือชั้น 5 เป็นร้านอาหาร Aksorn โดยเชฟ David Thompson ที่สร้างสรรค์สูตรอาหารต้นตำรับจากตำราอาหารไทยโบราณที่ตีพิมพ์ในช่วงระหว่างทศวรรษที่ 50 – 70 เรียกได้ว่าเป็นคลังที่จะเติมอาหารให้กับสมองและท้องอิ่ม พร้อมอาหารจรรโลงใจในคราวเดียวกัน
ชั้น 3 และชั้น 4 เป็นพื้นที่สำหรับจัดนิทรรศการหรืออีเว้นต์ต่างๆ ภายใต้สเปซสวยๆ ที่มีช่องหน้าต่างกระจกบานใหญ่มองเห็นวิวเมืองเก่าด้านนอก ส่วนชั้นบนสุดคือชั้น 5 เป็นร้านอาหาร Aksorn โดยเชฟ David Thompson ที่สร้างสรรค์สูตรอาหารต้นตำรับจากตำราอาหารไทยโบราณที่ตีพิมพ์ในช่วงระหว่างทศวรรษที่ 50 – 70 เรียกได้ว่าเป็นคลังที่จะเติมอาหารให้กับสมองและท้องอิ่ม พร้อมอาหารจรรโลงใจในคราวเดียวกัน

นานา-เยาวราช: สีสันยามค่ำคืนใกล้เยาวราช
ย่านซอยนานา (คนละนานากับย่านท่องเที่ยวกลางคืนบนถนนสุขุมวิท-อย่าสับสน) ที่เชื่อมต่อระหว่างถนนไมตรีจิตต์และเยาวราช มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอดในช่วงสิบปีมานี้ จากห้องแถวเก่า ถูกเปลี่ยนเป็นคาเฟ่ บาร์ และโรงแรม ที่ล้วนแต่อัดแน่นด้วยคอนเซ็ปต์และการตกแต่งที่ไม่ยอมน้อยหน้ากัน มีทั้งที่อยู่รอดและหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนมือกันไป ก่อนที่จะเงียบเหงาลงไปในช่วงโควิด แต่หลังจากวิบากรรมโควิดผ่านพ้นไป ดูเหมือนว่าย่านนี้จะกลับมาเบ่งบานยิ่งกว่าเดิม กลางวันกลายเป็นจุดเช็คอินที่วัยรุ่นและนักท่องเที่ยวเดินถ่ายรูปกันให้ว่อน แต่ซีนกลางคืนนั้นร้อนแรงยิ่งกว่า เพราะกลายเป็นย่านที่เต็มไปด้วยผับบาร์เปิดมากมาย QoQoon ตระเวณดูและดื่มแทบจะทุกร้านในย่านนี้ เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ให้วุ่น แต่ละร้านล้วนแต่มีจุดขายและไอเดียที่น่าสนใจ ชนิดที่เลือกกันได้เลยตามจริตของแต่ละคน ทั้งบาร์ค็อกเทล แจ๊สบาร์ ไปจนถึงบาร์ที่เป็นร้านอาหารที่จะแค่มาดื่มชิลล์ๆ หรือกินเอาอิ่มก็ได้ทั้งนั้น
รอบนี้เราขอเน้นดื่มเป็นหลัก เริ่มจากฝั่งตรงข้ามริมถนนไมตรีจิตต์ โดดเด่นเห็นชัดมาก่อนใครเพื่อนคือ Independence Cocktail Bar ที่ตกแต่งด้วยไหเหล้าแบบโบราณเรียงรายเต็มหน้าร้าน ซึ่งเป็นไปตามคอนเซ็ปต์ที่เน้นการสร้างสรรค์เมนูค็อกเทลจากวัตถุดิบในท้องถิ่นภาคอีสาน การตกแต่งภายในสวยงามร่วมสมัย ไม่ได้มีรายละเอียดการตกแต่งแบบอีสานจ๋าอย่างที่คิด แต่กลิ่นอายและบรรยากาศอีสานถูกถ่ายทอดออกมาผ่านทางเครื่องดื่มและเพลย์ลิสต์จากดีเจที่สอดแทรกเพลงไทยลูกทุ่งอีสานมิกซ์กับเพลงสมัยใหม่ ให้บรรยากาศม่วนซื่นแบบโมเดิร์นอีสาน
ข้างๆ ร้านมีซอกเล็กๆเข้าไปยังเวิ้งอันเป็นที่ตั้งของ Tax บาร์ค็อกเทลที่ซ่อนตัวอยู่บนชั้นสอง เมื่อเดินขึ้นบันไดแคบๆ ไปจะพบกับบานประตูสองฝั่ง ลองผลักเข้าไปดูว่าฝั่งไหนคือทางเข้าจริงๆ ด้านในแบ่งห้องออกเป็นสองฝั่ง เสิร์ฟค็อกเทลภายใต้บรรยกาศสลัวๆ เสาและคานคอนกรีตดั้งเดิมยังถูกเก็บไว้โดยเผยให้เห็นเสน่ห์ของความดิบจากโครงสร้างและวัสดุเดิม ถัดจาก Tax คือ Bar Temp. ที่เปลี่ยนมู้ดจากการนั่งชิลล์มาสู่ความคึกคักอีกสเต็ป
ข้ามฟากกลับมาที่ซอยนานา ก็ต้องสะดุดตากับโคมไฟสีแดงและการตกแต่งสไตล์จีนของ Bā hào (บาร์เห่า) ที่เป็นทั้งร้านอาหาร บาร์ และยังมีห้องพักอยู่ที่ชั้นบน อาหารที่เสิร์ฟเป็นไทยจีนจาน (เกือบ) ด่วน จะกินเอาอิ่มหรือกินเป็นกับแกล้มก็ได้ทั้งนั้น ค็อกเทลที่นี่ผสมเหล้าจีนและเครื่องยาจีนเป็นหลัก ถัดมาหน่อยคือ Brown Sugar บาร์แจ๊สระดับตำนานที่ย้ายโลเคชั่นมาแล้วหลายรอบ จนมาปักหลักที่นี่ สำหรับคอแจ๊สหรือแฟนดนตรีแบบเล่นสด (โดยเฉพาะเจนเอ็กซ์เจนวาย) คงไม่ต้องพูดอะไรมาก
เลยไปอีกนิด คือบาร์ค็อกเทลผู้มาก่อนกาลในย่านนี้อย่าง Teens of Thailand ที่เน้นเสิร์ฟค็อกเทลจากจินให้กับเหล่าวัยรุ่นของไทยแลนด์เป็นหลัก ฝั่งตรงข้ามคือ G.O.D บาร์น้องของ Teens ที่เราเคยแนะนำไปแล้วในฉบับ Night & Day
เดินต่อมาอีกหน่อยมีบาร์ลูกผสมฝรั่งจีน ที่ป้ายหน้าร้านเขียนเป็นถาษาไทยว่า ฟาน นอร์เเดน & บ. (Van Norden & Co.) หน้าร้านเป็นสไตล์จีนผสมอาร์ตเดคโค ส่วนที่น่าสนใจที่สุดน่าจะเป็นรูฟท็อปบาร์ที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้เขียวสดชื่น มองผ่านพุ่มเฟื่องฟ้าสีชมพูสดลงมาเห็นวิวซอยนานาเบื้องล่างที่มีเหล่าบาร์ฮ็อปเปอร์และนักท่องราตรีเดินไปมา
ร้านสุดท้ายที่อยากจะแนะนำ คือ Thurty ค็อกเทลบาร์ชิลล์ๆ ที่ตกแต่งสไตล์ Mid-Century ด้วยเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งแบบเรทโทรในบรรยากาศผ่อนคลายเหมือนห้องนั่งเล่นที่บ้าน
ด้วยเสน่ห์แบบตะวันออกอันเป็นเอกลักษณ์ที่แทรกตัวอยู่ในทุกอณูของตึก แม้จะหลับไหลผ่านกาลเวลาพร้อมกับความทรุดโทรมที่ถูกทิ้งร้าง หากได้รับการชุบชีวิตด้วยมือของคนที่รู้จักคุณค่า ตึกแถวเหล่านี้ก็พร้อมที่จะกลับมามีลมหายใจและทำหน้าที่ส่งผ่านความสุขความรื่นรมย์และจิตวิญญาณที่ยังคงอยู่อีกครั้ง
IG: ndependence.cocktail
FB: Independence-Cocktail-Bar-61551401094501
IG: tax_bar_bkk
FB: taxbarbkk
IG: bartemp.bkk
IG: 8bahao
FB: 8bahao
FB: Van-Norden-Co
IG: chinatown_bangkok
IG: thurty_30
FB: Thurty-61563664439797
Story & Photos: Wachirapanee Whisky Markdee